xs
xsm
sm
md
lg

ปูนใหญ่ชี้รายได้กลุ่มปิโตรฯQ2สูสีปี47

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - บิ๊กปูนใหญ่ชี้รายได้กลุ่มปิโตรเคมีไตรมาส 2 ใกล้เคียงปีก่อน แม้ได้รับผลกระทบจากราคาอ่อนตัวลงก็ตาม แต่มาร์จินยังดีอยู่ที่ตันละ 500 เหรียญสหรัฐ เผยขณะนี้ราคาได้ขยับเพิ่มขึ้นแล้ว และจะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ เร่งรัฐวางระบบลอจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่ง
นายกานต์ ตระกูลฮุน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาปิโตรเคมีได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น หลังจากช่วงอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาสแรก เชื่อว่าราคาปิโตรเคมีจะอยู่ในระดับที่ดีในช่วงไตรมาส 3 -4 ปีนี้ระดับราคายังดีอยู่ เป็นผลจากความต้องการใช้ปิโตรเคมียังสูงอยู่ แม้ว่าโรงปิโตรเคมีขั้นต้นของจีน 2 โครงการแล้วเสร็จทำให้มีกำลังการผลิตเข้าสู่ตลาด 1.5 ล้านตันก็ตาม แต่เนื่องจากโครงการปิโตรเคมีที่อิหร่านได้เลื่อนออกไป
แนวโน้มราคาปิโตรเคมีจะยังอยู่ในอัตราที่สูงไปจนถึงปี 2550 จากเดิมที่เคยประเมินว่าราคาปิโตรเคมีจะขึ้นสูงสุดที่ครึ่งปีแรก 2548 ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาจากราคาปิโตรเคมีที่ดีดตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผลประกอบการกลุ่มปิโตรเคมีในไตรมาส 2 /2548 ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 16,751 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,709 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้กลับลดลง โดยกลุ่มปิโตรเคมีเครือปูนใหญ่มีรายได้ 2.26 หมื่นล้านบาท โดยมีมาร์จินอยู่ที่ระดับ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มปิโตรเคมีในเครือปูนซิเมนต์ไทย เดินเครื่องผลิตเต็มกำลังผลิต ทำให้อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มการลงทุนอยู่
ส่วนปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในปีนี้จะอยู่ในกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัย 50% โรงงานและอาคารพาณิชย์ 20% ที่เหลือมาใช้ในการก่อสร้างสาธารณูปโภค โดยยอดการใช้ปูนในภาคสาธาณูปโภคขยายตัว ถึง 13%ในไตรมาส 1/2548 ต่อเนื่องจากปีก่อนที่เริ่มขยายตัว หลังจากหยุดชะงักนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
โดยในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ ปริมาณการใช้ปูนส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคก่อสร้างสาธารณูปโภค 40% แต่หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ยอดการใช้ปูนจะอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เกิน 50% และสาธารณูปโภคลดลงเหลือ 25-26%
นายชลณัฐ ญาณารณพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เคมีภัณฑ์ซิเมนต์ไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 40 กว่าเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาแนฟทาอยู่ที่300 กว่าเหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อราคาน้ำมันขึ้นมาอยู่ที่บาร์เรลละ 50 และ 60 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ราคาแนฟทาได้ขยับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเพียง 400 และ 450 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาเม็ดพลาสติกซึ่งอยู่ที่ระดับ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยังมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ(GAP)ถึง 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นส่วนต่างที่ดีอยู่
ดังนั้น แม้ว่ารายได้กลุ่มปิโตรเคมีในช่วงไตรมาส 2/2548 จะลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาส 1/2548 เนื่องจากราคาปิโตรเคมีลดลงมาก แต่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบยังอยู่ที่ระดับ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น