กรมวิชาการเกษตรเดินหน้าสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตร ดันประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตอาหารปลอดภัยของโลก “ฉกรรจ์”บอกถ้าเราทำมาตรฐานได้สูง ต่อไปจะไม่มีใครมาสั่งให้เราทำนั่นทำนี่ และทุกคนจะเรียกร้องสินค้าที่มีมาตรฐานอย่างไทย
กระแสความต้องการความปลอดภัยทางด้านอาหาร (Food Safety) กำลังขยายตัวไปทั่วทุกมุมโลก หากผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใด สามารถสร้างมาตรฐาน ทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย จนได้รับการยอมรับจากประเทศผู้นำเข้าชั้นนำอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ก็จะเป็นการตอกย้ำให้ประเทศผู้นำเข้าอื่นๆ ยอมรับในสินค้าจากประเทศนั้นๆ ตามไปด้วย
นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากนี้ไป กรมฯ จะช่วยเกษตรกรไทยให้พัฒนาและสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรของไทยขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องรอให้ประเทศผู้นำเข้ารายใดมาบอกว่าไทยต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยสามารถเข้าไปจำหน่ายในประเทศเขาได้ แต่วันนี้ ไทยจะสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าเกษตรทุกตัว และทำมาตรฐานให้ดีที่สุด เพื่อให้สินค้าเกษตรจากไทยเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกเอง
“ถ้าเราสามารถจะพัฒนาและสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรขึ้นมาใหม่ จนเป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นำเข้าสำคัญๆ ของโลกได้ ต่อไปก็คงยากที่ประเทศคู่แข่งรายใดจะตามทัน และจะทำให้สินค้าเกษตรของไทยเป็นผู้นำในเวทีการค้าสินค้าเกษตรของโลกไปโดยปริยาย ผู้นำเข้าก็จะเรียกร้องหามาตรฐานอย่างไทย”นายฉกรรจ์กล่าว
นายฉกรรจ์กล่าวว่า แผนการสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าเกษตรนั้น กรมฯ จะใช้วิชาการเป็นตัวนำ โดยจะนำความรู้ไปบอกให้กับเกษตรกร และสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตสินค้าอาหารปลอดภัย ซึ่งมีสิ่งที่ได้ดำเนินการแล้ว เช่น การรับรองแหล่งผลิตเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) แก่แปลงผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ การตรวจสารตกค้างที่เป็นอันตราย เพื่อป้องกันปัญหาสารตกค้างที่จะมีผลกระทบต่อโครงการ Food Safety
“ขณะนี้เรามีการรับรองแปลงผลิตที่ได้ GAP จำนวนมาก และผลการตรวจสอบสารเคมีตกค้างที่ทำอย่างเข้มงวด ทำให้วันนี้ผลผลิตทางการเกษตรของเรามีค่าเฉลี่ยของสารตกค้างแค่ 4% จากเดิม 11-12% และตั้งเป้าไว้ว่าจะให้เหลือ 1-2% หรือไม่พบสารตกค้างเลยในที่สุด แต่การขจัดสารตกค้างไม่ให้เหลือเลย เป็นเรื่องที่ยากพอควร เพราะเกษตรกรยังต้องใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมีบางอย่าง ซึ่งแนวทางของเรา ก็จะพยายามทำให้สูงกว่าที่มาตรฐานโลกกำหนดให้ได้”
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ออกประกาศเพื่อจำกัดโควตาการนำเข้าสารเคมี โดยบริษัทผู้นำเข้าจะต้องส่งรายงานการนำเข้ามายังกรมฯ ว่า มีสารชนิดใดบ้าง และมีปริมาณเท่าไร จากนั้นต้องระบุให้ชัดว่า จะนำไปทำอะไร และส่งขายให้ใคร ผ่านช่องทางไหน หากพบว่าการนำเข้าสารเคมีนั้นๆ เกินกว่าโควตาที่กำหนดแล้ว กรมฯ จะห้ามมิให้มีการนำเข้ามาทันที ขณะเดียวกัน จะรับสมัครชาวบ้านในแต่ละชุมชน เพื่อทำหน้าที่ช่วยสอดส่องดูแลการลักลอบขายสารเคมีต้องห้าม หรือสารเคมีปลอมแก่เกษตรกรด้วย
กระแสความต้องการความปลอดภัยทางด้านอาหาร (Food Safety) กำลังขยายตัวไปทั่วทุกมุมโลก หากผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใด สามารถสร้างมาตรฐาน ทั้งในด้านคุณภาพและความปลอดภัย จนได้รับการยอมรับจากประเทศผู้นำเข้าชั้นนำอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น ก็จะเป็นการตอกย้ำให้ประเทศผู้นำเข้าอื่นๆ ยอมรับในสินค้าจากประเทศนั้นๆ ตามไปด้วย
นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากนี้ไป กรมฯ จะช่วยเกษตรกรไทยให้พัฒนาและสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรของไทยขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องรอให้ประเทศผู้นำเข้ารายใดมาบอกว่าไทยต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยสามารถเข้าไปจำหน่ายในประเทศเขาได้ แต่วันนี้ ไทยจะสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าเกษตรทุกตัว และทำมาตรฐานให้ดีที่สุด เพื่อให้สินค้าเกษตรจากไทยเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกเอง
“ถ้าเราสามารถจะพัฒนาและสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรขึ้นมาใหม่ จนเป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นำเข้าสำคัญๆ ของโลกได้ ต่อไปก็คงยากที่ประเทศคู่แข่งรายใดจะตามทัน และจะทำให้สินค้าเกษตรของไทยเป็นผู้นำในเวทีการค้าสินค้าเกษตรของโลกไปโดยปริยาย ผู้นำเข้าก็จะเรียกร้องหามาตรฐานอย่างไทย”นายฉกรรจ์กล่าว
นายฉกรรจ์กล่าวว่า แผนการสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าเกษตรนั้น กรมฯ จะใช้วิชาการเป็นตัวนำ โดยจะนำความรู้ไปบอกให้กับเกษตรกร และสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตสินค้าอาหารปลอดภัย ซึ่งมีสิ่งที่ได้ดำเนินการแล้ว เช่น การรับรองแหล่งผลิตเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) แก่แปลงผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ การตรวจสารตกค้างที่เป็นอันตราย เพื่อป้องกันปัญหาสารตกค้างที่จะมีผลกระทบต่อโครงการ Food Safety
“ขณะนี้เรามีการรับรองแปลงผลิตที่ได้ GAP จำนวนมาก และผลการตรวจสอบสารเคมีตกค้างที่ทำอย่างเข้มงวด ทำให้วันนี้ผลผลิตทางการเกษตรของเรามีค่าเฉลี่ยของสารตกค้างแค่ 4% จากเดิม 11-12% และตั้งเป้าไว้ว่าจะให้เหลือ 1-2% หรือไม่พบสารตกค้างเลยในที่สุด แต่การขจัดสารตกค้างไม่ให้เหลือเลย เป็นเรื่องที่ยากพอควร เพราะเกษตรกรยังต้องใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมีบางอย่าง ซึ่งแนวทางของเรา ก็จะพยายามทำให้สูงกว่าที่มาตรฐานโลกกำหนดให้ได้”
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ออกประกาศเพื่อจำกัดโควตาการนำเข้าสารเคมี โดยบริษัทผู้นำเข้าจะต้องส่งรายงานการนำเข้ามายังกรมฯ ว่า มีสารชนิดใดบ้าง และมีปริมาณเท่าไร จากนั้นต้องระบุให้ชัดว่า จะนำไปทำอะไร และส่งขายให้ใคร ผ่านช่องทางไหน หากพบว่าการนำเข้าสารเคมีนั้นๆ เกินกว่าโควตาที่กำหนดแล้ว กรมฯ จะห้ามมิให้มีการนำเข้ามาทันที ขณะเดียวกัน จะรับสมัครชาวบ้านในแต่ละชุมชน เพื่อทำหน้าที่ช่วยสอดส่องดูแลการลักลอบขายสารเคมีต้องห้าม หรือสารเคมีปลอมแก่เกษตรกรด้วย