เมื่อเวลา 12.00 น.วานนี้ (27มิ.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ที่กระทรวงกลาโหม โดยมีพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม และนายทหารระดับสูงให้การต้อนรับ พร้อมชมนิทรรศการ"ผลงานวิจัย และศักยภาพของกองทัพ" ขณะเดียวกับกระทรวงกลาโหม ได้จัดทำวีดีทัศน์ความยาว 12 นาที เรื่อง"การใช้ศักยภาพของกองทัพเพื่อความมั่นคง และมั่งคั่ง" พร้อมสาธิตขีดความสามารถของเครื่องบินตรวจการณ์ขนาดเล็กควบคุมระยะไกล โดยไม่ใช้นักบิน หรือ UAV ในการรายงานสดสภาพพื้นที่ จากจ.ปัตตานี
พล.อ.อู๊ด เบื้องบน ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการให้แต่ละกระทรวงปฏิบัติ 3 เรื่องคือ 1.การผลิตเครื่องบินตรวจการณ์ระยะไกลไร้คนขับ โดยให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการไว้ไปช่วยเหลือ และประสานงานกับหน่วยที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกรมป่าไม้ ซึ่งจะมีการผลิตเพิ่มเติมจำนวน 10 เครื่อง ราคาเครื่องละ 3.5 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำเครื่องบินลำดังกล่าวไปใช้งานด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมามีการนำไปใช้ 5 ลำแล้ว 2.ปัญหาการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพียงพอต่อการใช้ในการนิคมอุตสาหกรรม และ 3.การหาพลังงานทดแทนน้ำมันเช่น ก๊าซเอ็นจีวี เพื่อมาใช้ลดปัญหาหนี้สินที่องค์การขนส่งมวลชน กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือปตท.
ปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ในการประชุม ครม.พิเศษเมื่อวันที่ 26มิ.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกส่วนราชการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้ ครม.รับทราบภายในวันที่ 5 ก.ค.นี้ ในส่วนของกระทรวงกลาโหมไม่มีปัญหา เหล่าทัพสามารถเบิกจ่ายได้ตามโครงการที่มีการเสนอขึ้นไป โดยเฉพาะของกองทัพอากาศ จำนวน 1,000 ล้านบาท ในส่วนของกองทัพเรือ 640 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณเหลื่อมปีของกระทรวงกลาโหม จำนวน 3,000 ล้านบาท มั่นใจว่างบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมจะไม่มีปัญหา เพราะมีการใช้จ่ายตามความเป็นจริง ซึ่งในปีนี้เหลืองบประมาณ 1,500 ล้านบาท สำหรับโครงการของแต่ละเหล่าทัพบางโครงการดำเนินการไม่ เสร็จภายใน 30 ก.ย.48 นายกรัฐมนตรีก็ให้เลื่อนไปจนถึง 30 ธ.ค.48
เมื่อถามว่า งบประมาณในส่วนของกองทัพบก หากมีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อรถถึงพีแซด งบประมาณไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะทันกับการกลั่นกรองของ ครม.หรือไม่ พล.อ.อู้ด ตอบว่า การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงโครงการขึ้นอยู่กับทางครม. แต่นายกรัฐมนตรี ระบุว่าหากเบิกจ่ายงบประมาณไม่ทัน 30 มิ.ย.48 นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าให้สามารถทำได้เลย ซึ่งขณะนี้รมว.กลาโหม ได้ทำหนังสือชี้แจงให้ครม.รับทราบแล้ว กรณีที่กองทัพบกขอเปลี่ยนแปลงโครงการรถถึงพีแซด 68 ที่มีเงินงบประมาณอยู่แล้ว มาเป็นปืนขนาดเล็ก เพื่อใช้การปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้งบประมาณส่วนอื่นสำรองไปก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2549 กระทรวงกลาโหม ได้เสนอขอจำนวน 153,815,771,000 บาท ซึ่งจากการที่ครม.มีมติเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้จัดงบประมาณแบบสมดุล กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 85,441,732,000 บาท หรือร้อยละ 55.55 ของวงเงินที่เสนอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2548 ถือว่าได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นจำนวน 4,200,342,100 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.17
พล.อ.อู๊ด เบื้องบน ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการให้แต่ละกระทรวงปฏิบัติ 3 เรื่องคือ 1.การผลิตเครื่องบินตรวจการณ์ระยะไกลไร้คนขับ โดยให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการไว้ไปช่วยเหลือ และประสานงานกับหน่วยที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกรมป่าไม้ ซึ่งจะมีการผลิตเพิ่มเติมจำนวน 10 เครื่อง ราคาเครื่องละ 3.5 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำเครื่องบินลำดังกล่าวไปใช้งานด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมามีการนำไปใช้ 5 ลำแล้ว 2.ปัญหาการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพียงพอต่อการใช้ในการนิคมอุตสาหกรรม และ 3.การหาพลังงานทดแทนน้ำมันเช่น ก๊าซเอ็นจีวี เพื่อมาใช้ลดปัญหาหนี้สินที่องค์การขนส่งมวลชน กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือปตท.
ปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ในการประชุม ครม.พิเศษเมื่อวันที่ 26มิ.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกส่วนราชการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้ ครม.รับทราบภายในวันที่ 5 ก.ค.นี้ ในส่วนของกระทรวงกลาโหมไม่มีปัญหา เหล่าทัพสามารถเบิกจ่ายได้ตามโครงการที่มีการเสนอขึ้นไป โดยเฉพาะของกองทัพอากาศ จำนวน 1,000 ล้านบาท ในส่วนของกองทัพเรือ 640 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณเหลื่อมปีของกระทรวงกลาโหม จำนวน 3,000 ล้านบาท มั่นใจว่างบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมจะไม่มีปัญหา เพราะมีการใช้จ่ายตามความเป็นจริง ซึ่งในปีนี้เหลืองบประมาณ 1,500 ล้านบาท สำหรับโครงการของแต่ละเหล่าทัพบางโครงการดำเนินการไม่ เสร็จภายใน 30 ก.ย.48 นายกรัฐมนตรีก็ให้เลื่อนไปจนถึง 30 ธ.ค.48
เมื่อถามว่า งบประมาณในส่วนของกองทัพบก หากมีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อรถถึงพีแซด งบประมาณไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะทันกับการกลั่นกรองของ ครม.หรือไม่ พล.อ.อู้ด ตอบว่า การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงโครงการขึ้นอยู่กับทางครม. แต่นายกรัฐมนตรี ระบุว่าหากเบิกจ่ายงบประมาณไม่ทัน 30 มิ.ย.48 นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่าให้สามารถทำได้เลย ซึ่งขณะนี้รมว.กลาโหม ได้ทำหนังสือชี้แจงให้ครม.รับทราบแล้ว กรณีที่กองทัพบกขอเปลี่ยนแปลงโครงการรถถึงพีแซด 68 ที่มีเงินงบประมาณอยู่แล้ว มาเป็นปืนขนาดเล็ก เพื่อใช้การปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้งบประมาณส่วนอื่นสำรองไปก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2549 กระทรวงกลาโหม ได้เสนอขอจำนวน 153,815,771,000 บาท ซึ่งจากการที่ครม.มีมติเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้จัดงบประมาณแบบสมดุล กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 85,441,732,000 บาท หรือร้อยละ 55.55 ของวงเงินที่เสนอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2548 ถือว่าได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นจำนวน 4,200,342,100 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.17