นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การหารือกับเครือสหวิริยาเกี่ยวกับแนวทางการจัดตั้งโรงถลุงเหล็กวันที่ 21 เม.ย.นี้ สิ่งสำคัญคงจะขอพิจารณาดูแผนการตลาดว่ามีลูกค้าที่จะรับซื้อผลิตภัณฑ์จากโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศมากน้อยเพียงใด ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการดังกล่าวแต่ภาครัฐเป็นห่วงปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL
" ขอย้ำว่ากระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ดึงเรื่องนี้ไว้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดและ สาเหตุที่ภาครัฐควรมีความรอบคอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว ที่แม้ว่าสหวิริยาจะยืนยันว่า พร้อมจะลงทุนทั้งการหาผู้ร่วมทุน แหล่งเงินทุนที่จะให้สินเชื่อ แต่ภาครัฐยังเป็นห่วงว่า แม้ว่าสหวิริยาจะกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศได้ก็จริง หากโครงการมีปัญหา NPL ให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไขอีกเช่นกัน หรือกรณีกู้เงินจากต่างประเทศก็เป็นมูลค่าหนี้ต่างประเทศที่เป็นภาระแก่ประเทศเช่นกัน"นายจักรมณฑ์กล่าว
ทั้งนี้สิ่งที่ต้องติดตามคือหากจีนที่ขณะนี้เป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของโลก เพื่อก่อสร้างสนามกีฬาสำหรับโอลิมปิกในปี 2551 แต่หลังจากปี 2550 สนามกีฬาต่างๆก็เริ่มแล้วเสร็จ ความต้องการนำเข้าเหล็กจากทั่วโลกก็จะลดลง และจีนก็เริ่มมีการผลิตในประเทศมากขึ้นเพื่อลดการนำเข้าซึ่งอนาคตบางส่วนจีนอาจจะสามารถส่งออกทำตลาดได้ด้วยซ้ำ ขณะที่สหวิริยาเริ่มผลิตสินค้าป้อนตลาดก็ต้องไปแข่งขันทางการตลาดกับโปแลนด์ และบราซิลที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก และทั้งสองประเทศมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยเพราะโรงงานก่อสร้างมานานถึงจุดคุ้มทุนแล้ว แต่ของไทยเพิ่งเริ่มต้นลงทุน อาจทำการตลาดแข่งขันลำบาก
นายจักรมณฑ์ กล่าวยอมรับว่า สหวิริยามีศักยภาพดำเนินโครงการได้จริง แต่ยังห่วงว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จเริ่มต้นผลิต จะดำเนินธุรกิจไปได้เพียงใดหากเผชิญกับปัญหาข้างต้น เพราะโครงการโรงถลุงเหล็ก แม้ว่าเป็นเรื่องที่ดีในอนาคตของไทยแต่ต่างจากกรณีของรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล และอยู่ในภาวะขาดทุน แต่หากเทียบกับการเป็นบริการขนส่งสาธาราณะที่มีลูกค้าชัดเจนทุกวัน ก็มีโอกาสคืนทุนได้สูงกว่าโรงถลุงเหล็ก และขอย้ำว่าหากสหวิริยาลงทุนโครงการนี้จริง ภาครัฐโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอจะไม่ให้การสนับสนุนในเรื่องใดๆเช่น การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็ก หรือให้การคุ้มครองสหวิริยาเป็นกรณีพิเศษอย่างแน่นอน ซึ่งจะให้การสนับสนุนผ่านบีโอไอที่มีเงื่อนไขกำหนดไว้เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือสหวิริยามีแผนที่จะลงทุนโรงถลุงเหล็ก ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีระยะเวลาดำเนินการ 12-15 ปี ลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 5.2 แสนล้านบาท แบ่ง
การลงทุนออกเป็น 5 เฟส เฟสแรก 5 ล้านตันในปี 2551
แหล่งข่าวจากเครือสหวิริยากล่าวว่า บริษัทพร้อมจะทำการชี้แจงแผนทั้งหมดว่าเป็นการทยอยลงเป็นเฟส ๆ ระยะแรกลงทุนไม่ถึง แสนล้านบาท หากมีปัญหาจริงก็สามารถชะลอโครงการออกไปได้และระยะแรกก็เกิดตั้งปี 2551 เพื่อป้อนตลาดในประเทศเป็นหลักซึ่งเชื่อว่าตลาดเหล็กในประเทศมีการเติบโตอยู่ทุกปีอยู่แล้วจึงไม่น่ามีปัญหา ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิด NPL ก็ต้องย้อมถามว่าแล้วเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแล้วที่ผ่านมา สหวิริยาเป็น NPL รายเดียวหรืออย่างไร และสำคัญสุดคือการหาผู้ร่วมทุนที่เริ่มระบุว่าจะต้องเป็นค่ายรถยนต์ขอให้รัฐบาลพูดชัดๆ ได้ไหมว่าเป็นค่ายญี่ปุ่น
นายวิน วิระยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสหวิริยา กล่าวว่าทางบริษัทได้ประมาณการใช้เหล็กในประเทศสูงถึง 13 ล้านตัน/ปี ซึ่งต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ไทยต้องขาดดุลการค้ามหาศาล ถ้าหากเรามีโรงถลุงเหล็กเองก็จะช่วยให้ไทยลดการนำเข้าและได้ และทำให้โครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กไทยมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาได้ต่อเนื่องได้ ศึ่กทางบริษัทเองได้ทีการศึกษาเรื่องนี้และมั่นใจในโครงการนี้ ส่วนการระดมทุนนั้นก็ไม่มีปัญหาเพราะมีพันธมิตรจำนวนมากที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนขาดดุล
" ขอย้ำว่ากระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ดึงเรื่องนี้ไว้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดและ สาเหตุที่ภาครัฐควรมีความรอบคอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว ที่แม้ว่าสหวิริยาจะยืนยันว่า พร้อมจะลงทุนทั้งการหาผู้ร่วมทุน แหล่งเงินทุนที่จะให้สินเชื่อ แต่ภาครัฐยังเป็นห่วงว่า แม้ว่าสหวิริยาจะกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศได้ก็จริง หากโครงการมีปัญหา NPL ให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไขอีกเช่นกัน หรือกรณีกู้เงินจากต่างประเทศก็เป็นมูลค่าหนี้ต่างประเทศที่เป็นภาระแก่ประเทศเช่นกัน"นายจักรมณฑ์กล่าว
ทั้งนี้สิ่งที่ต้องติดตามคือหากจีนที่ขณะนี้เป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ของโลก เพื่อก่อสร้างสนามกีฬาสำหรับโอลิมปิกในปี 2551 แต่หลังจากปี 2550 สนามกีฬาต่างๆก็เริ่มแล้วเสร็จ ความต้องการนำเข้าเหล็กจากทั่วโลกก็จะลดลง และจีนก็เริ่มมีการผลิตในประเทศมากขึ้นเพื่อลดการนำเข้าซึ่งอนาคตบางส่วนจีนอาจจะสามารถส่งออกทำตลาดได้ด้วยซ้ำ ขณะที่สหวิริยาเริ่มผลิตสินค้าป้อนตลาดก็ต้องไปแข่งขันทางการตลาดกับโปแลนด์ และบราซิลที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก และทั้งสองประเทศมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยเพราะโรงงานก่อสร้างมานานถึงจุดคุ้มทุนแล้ว แต่ของไทยเพิ่งเริ่มต้นลงทุน อาจทำการตลาดแข่งขันลำบาก
นายจักรมณฑ์ กล่าวยอมรับว่า สหวิริยามีศักยภาพดำเนินโครงการได้จริง แต่ยังห่วงว่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จเริ่มต้นผลิต จะดำเนินธุรกิจไปได้เพียงใดหากเผชิญกับปัญหาข้างต้น เพราะโครงการโรงถลุงเหล็ก แม้ว่าเป็นเรื่องที่ดีในอนาคตของไทยแต่ต่างจากกรณีของรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดินที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล และอยู่ในภาวะขาดทุน แต่หากเทียบกับการเป็นบริการขนส่งสาธาราณะที่มีลูกค้าชัดเจนทุกวัน ก็มีโอกาสคืนทุนได้สูงกว่าโรงถลุงเหล็ก และขอย้ำว่าหากสหวิริยาลงทุนโครงการนี้จริง ภาครัฐโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอจะไม่ให้การสนับสนุนในเรื่องใดๆเช่น การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็ก หรือให้การคุ้มครองสหวิริยาเป็นกรณีพิเศษอย่างแน่นอน ซึ่งจะให้การสนับสนุนผ่านบีโอไอที่มีเงื่อนไขกำหนดไว้เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือสหวิริยามีแผนที่จะลงทุนโรงถลุงเหล็ก ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีระยะเวลาดำเนินการ 12-15 ปี ลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 5.2 แสนล้านบาท แบ่ง
การลงทุนออกเป็น 5 เฟส เฟสแรก 5 ล้านตันในปี 2551
แหล่งข่าวจากเครือสหวิริยากล่าวว่า บริษัทพร้อมจะทำการชี้แจงแผนทั้งหมดว่าเป็นการทยอยลงเป็นเฟส ๆ ระยะแรกลงทุนไม่ถึง แสนล้านบาท หากมีปัญหาจริงก็สามารถชะลอโครงการออกไปได้และระยะแรกก็เกิดตั้งปี 2551 เพื่อป้อนตลาดในประเทศเป็นหลักซึ่งเชื่อว่าตลาดเหล็กในประเทศมีการเติบโตอยู่ทุกปีอยู่แล้วจึงไม่น่ามีปัญหา ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิด NPL ก็ต้องย้อมถามว่าแล้วเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแล้วที่ผ่านมา สหวิริยาเป็น NPL รายเดียวหรืออย่างไร และสำคัญสุดคือการหาผู้ร่วมทุนที่เริ่มระบุว่าจะต้องเป็นค่ายรถยนต์ขอให้รัฐบาลพูดชัดๆ ได้ไหมว่าเป็นค่ายญี่ปุ่น
นายวิน วิระยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสหวิริยา กล่าวว่าทางบริษัทได้ประมาณการใช้เหล็กในประเทศสูงถึง 13 ล้านตัน/ปี ซึ่งต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ไทยต้องขาดดุลการค้ามหาศาล ถ้าหากเรามีโรงถลุงเหล็กเองก็จะช่วยให้ไทยลดการนำเข้าและได้ และทำให้โครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กไทยมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาได้ต่อเนื่องได้ ศึ่กทางบริษัทเองได้ทีการศึกษาเรื่องนี้และมั่นใจในโครงการนี้ ส่วนการระดมทุนนั้นก็ไม่มีปัญหาเพราะมีพันธมิตรจำนวนมากที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนขาดดุล


