ผู้จัดการรายวัน – องุ่น ซุ่มขยายไลน์น้ำมันพืชพรีเมียม ทุ่มงบ100 ล้านบาท โหมโรงจัดกิจกรรมการตลาดเต็มสูบ สานต่อโครงการ “ครัวองุ่นเคลื่อนที่” จัดหน่วยสวาทบุกให้ความรู้คนรุ่นใหม่หวังกระตุ้นเข้าครัว ปลื้มปี 47แชร์พุ่ง53% ส่วนสิ้นปีนี้กวาดเพิ่ม 56%
นางรุ่งทิพย์ ชัชวาลเวทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชตราองุ่น เปิดเผยว่า บริษัทต้องการขยายไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมกับม.เกษตรศาสตร์พัฒนาสินค้าใหม่เป็นน้ำมันพืชระดับพรีเมียม ซึ่งอาจจะเป็นได้ตั้งแต่น้ำมันถั่วเหลือง รำข้าว ทานตะวัน โดยการวิจัยจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ จากนั้นถึงจะมีการพิจารณาเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น รวมถึงเทรนด์ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรงและมีอัตราการเติบโต 60-70%
แนวโน้มตลาดน้ำมันพืชมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าเชิงมูลค่าจะโต 15% เชิงปริมาณโต 11% โดยแบ่งเป็น ตลาดน้ำมันปาล์ม 65% โตเป็นตัวเลขหลักเดียวเช่นเดียวกับน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งมีสัดส่วน 30% รำข้าวและอื่นๆสัดส่วน 5% โดยตลาดน้ำมันพืชไทยยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอัตราการบริโภคน้ำมันพืชไทยยังมีน้อย 3-4 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ครอบครัว 3-4 ลิตรต่อครอบครัวต่อเดือน เติบโตเพิ่มขึ้น 6-7% แต่เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศอัตราการบริโภคถือว่ายังน้อยอยู่
“บริษัทวางเป้าหมายไว้ว่าจะรุกตลาดเพื่อแย่งส่วนแบ่งจากตลาดน้ำมันปาล์มอย่างน้อยปีละ3-5% โดยใช้จุดเด่นของการเป็นน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพ ในปีนี้บริษัทจะเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์ เพิ่มจาก 50% เป็น 70% ขณะที่อะโบฟเดอะไลน์ หรือการใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์จะลดลงจาก70% เหลือ 30%”
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบตลาด 100 ล้านบาท ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ประการแรก การให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกและบริโภคน้ำมันเพื่อสุขภาพ ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีกทั้งยังได้เตรียมจัด “ทีมหน่วยสวาท” ออกไปให้ความรู้ตามสำนักงาน สถานที่ออกกำลัง เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นและกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาทำกับข้าวมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้ตามโรงเรียน โรงพยาบาลรวมแล้วกว่า 100 แห่ง จะเริ่มในไตรมาสที่สองนี้
ประการที่สอง จะสานต่อโครงการ “ครัวองุ่นเคลื่อนที่”สาธิตการทำอาหารในรูปแบบต่างๆกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ เพื่อดึงให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีประสบการณ์และใกล้ชิดกับตราสินค้ามากขึ้น เน้นการทำตลาดเฉพาะในแต่ละภาค ประการที่สามเน้นการจัดกิจกรรมสัมพันธ์กับร้านจำหน่ายต่างๆ เพื่อรองรับการแข่งขันด้านเทรดโปรโมชั่นที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และประการที่สี่ สานต่อนโยบายการจัดทีมจำหน่ายต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมานี้ โดยบริษัทจะเป็นผู้กระจายสินค้าน้ำมันพืชบรรจุภัณฑ์ขวดแทนที่บริษัท เชียร์ ประเทศไทย จำกัด ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการกระจายสินค้าได้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่บริษัทเชียร์ จะเป็นตัวแทนกระจายสินค้าเฉพาะบรรจุภัณฑ์ปี๊ปเท่านั้น
นายชาญวิทย์ วิทยฐานกรณ์ ผู้จัดการอาวุโสแผนกการขายและการตลาด บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อถึงการปรับราคาสินค้าว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายจะปรับราคามันพืชแต่อย่างใด แม้ว่าต้นทุนการผลิตจะขึ้นจากในปี 2547 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน15% เพราะน้ำมันพืชเป็นสินค้าควบคุม สามารถปรับราคาได้ถึง 40 บาท แต่ปัจจุบันน้ำมันพืชจำหน่ายเพียง 36-37บาท ซึ่งหากราคาวัตถุดิบขึ้นจนกระทั่งบริษัทตรึงราคาไม่อยู่ถึงจะมีการพิจารณาปรับราคาสินค้าขึ้น โดยนี้บริษัทตั้งเป้าจะต้องลดต้นทุนการผลิตลง 3-5% ในเบื้องต้นได้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เร็วขึ้น ซื้อวัตถุดิบที่ถูกลงและตามฤดูกาล
สำหรับผลประกอบโดยรวมในปีที่ผ่านมา 12,600 ล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้าโต10-12% ส่วนรายได้น้ำมันพืชองุ่นปีนี้ตั้งเป้าเติบโต15% จากการมีรายได้1,300ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดรอบเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 47 กระทั่งรอบล่าสุดเดือนพฤศจิกายนเพิ่มจาก48%เป็น53% และคาดว่าสิ้นปีน้ำมันพืชองุ่นจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น56% ส่วนมรกตปัจจุบันมีส่วนแบ่ง19% กุ๊กจาก23%เหลือเป็น 17% ทิพ4%
นางรุ่งทิพย์ ชัชวาลเวทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชตราองุ่น เปิดเผยว่า บริษัทต้องการขยายไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมกับม.เกษตรศาสตร์พัฒนาสินค้าใหม่เป็นน้ำมันพืชระดับพรีเมียม ซึ่งอาจจะเป็นได้ตั้งแต่น้ำมันถั่วเหลือง รำข้าว ทานตะวัน โดยการวิจัยจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ จากนั้นถึงจะมีการพิจารณาเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น รวมถึงเทรนด์ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรงและมีอัตราการเติบโต 60-70%
แนวโน้มตลาดน้ำมันพืชมูลค่า 8,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าเชิงมูลค่าจะโต 15% เชิงปริมาณโต 11% โดยแบ่งเป็น ตลาดน้ำมันปาล์ม 65% โตเป็นตัวเลขหลักเดียวเช่นเดียวกับน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งมีสัดส่วน 30% รำข้าวและอื่นๆสัดส่วน 5% โดยตลาดน้ำมันพืชไทยยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอัตราการบริโภคน้ำมันพืชไทยยังมีน้อย 3-4 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ครอบครัว 3-4 ลิตรต่อครอบครัวต่อเดือน เติบโตเพิ่มขึ้น 6-7% แต่เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศอัตราการบริโภคถือว่ายังน้อยอยู่
“บริษัทวางเป้าหมายไว้ว่าจะรุกตลาดเพื่อแย่งส่วนแบ่งจากตลาดน้ำมันปาล์มอย่างน้อยปีละ3-5% โดยใช้จุดเด่นของการเป็นน้ำมันพืชเพื่อสุขภาพ ในปีนี้บริษัทจะเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์ เพิ่มจาก 50% เป็น 70% ขณะที่อะโบฟเดอะไลน์ หรือการใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์จะลดลงจาก70% เหลือ 30%”
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบตลาด 100 ล้านบาท ภายใต้ 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ประการแรก การให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกและบริโภคน้ำมันเพื่อสุขภาพ ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีกทั้งยังได้เตรียมจัด “ทีมหน่วยสวาท” ออกไปให้ความรู้ตามสำนักงาน สถานที่ออกกำลัง เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นและกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาทำกับข้าวมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้ตามโรงเรียน โรงพยาบาลรวมแล้วกว่า 100 แห่ง จะเริ่มในไตรมาสที่สองนี้
ประการที่สอง จะสานต่อโครงการ “ครัวองุ่นเคลื่อนที่”สาธิตการทำอาหารในรูปแบบต่างๆกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ เพื่อดึงให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีประสบการณ์และใกล้ชิดกับตราสินค้ามากขึ้น เน้นการทำตลาดเฉพาะในแต่ละภาค ประการที่สามเน้นการจัดกิจกรรมสัมพันธ์กับร้านจำหน่ายต่างๆ เพื่อรองรับการแข่งขันด้านเทรดโปรโมชั่นที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และประการที่สี่ สานต่อนโยบายการจัดทีมจำหน่ายต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมานี้ โดยบริษัทจะเป็นผู้กระจายสินค้าน้ำมันพืชบรรจุภัณฑ์ขวดแทนที่บริษัท เชียร์ ประเทศไทย จำกัด ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการกระจายสินค้าได้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่บริษัทเชียร์ จะเป็นตัวแทนกระจายสินค้าเฉพาะบรรจุภัณฑ์ปี๊ปเท่านั้น
นายชาญวิทย์ วิทยฐานกรณ์ ผู้จัดการอาวุโสแผนกการขายและการตลาด บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อถึงการปรับราคาสินค้าว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายจะปรับราคามันพืชแต่อย่างใด แม้ว่าต้นทุนการผลิตจะขึ้นจากในปี 2547 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน15% เพราะน้ำมันพืชเป็นสินค้าควบคุม สามารถปรับราคาได้ถึง 40 บาท แต่ปัจจุบันน้ำมันพืชจำหน่ายเพียง 36-37บาท ซึ่งหากราคาวัตถุดิบขึ้นจนกระทั่งบริษัทตรึงราคาไม่อยู่ถึงจะมีการพิจารณาปรับราคาสินค้าขึ้น โดยนี้บริษัทตั้งเป้าจะต้องลดต้นทุนการผลิตลง 3-5% ในเบื้องต้นได้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เร็วขึ้น ซื้อวัตถุดิบที่ถูกลงและตามฤดูกาล
สำหรับผลประกอบโดยรวมในปีที่ผ่านมา 12,600 ล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้าโต10-12% ส่วนรายได้น้ำมันพืชองุ่นปีนี้ตั้งเป้าเติบโต15% จากการมีรายได้1,300ล้านบาท ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดรอบเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 47 กระทั่งรอบล่าสุดเดือนพฤศจิกายนเพิ่มจาก48%เป็น53% และคาดว่าสิ้นปีน้ำมันพืชองุ่นจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น56% ส่วนมรกตปัจจุบันมีส่วนแบ่ง19% กุ๊กจาก23%เหลือเป็น 17% ทิพ4%