ผู้จัดการรายวัน – รักลูกกรุ๊ป ลงทุน 10 ล้านบาท ขยายงานธุรกิจออแกไนซ์ หันรับงานนอก หลังมีประสบการณ์จากการจัดกิจกรรมให้กับองค์กรมากกว่า 70 ครั้งต่อปี ชูนโยบายชัดรับเฉพาะงานที่เกี่ยวกับครอบครัว และบ้าน ตั้งเป้าเพิ่มรายได้เข้าบริษัทอีก 20 ล้านบาทในปีนี้ ไม่หวั่นธุรกิจแมกกาซีนแข่งเดือด เหตุอยู่มา 22 ปี เชื่อรู้ความต้องการของแม่ไทยดีกว่าใคร ล่าสุดเตรียมวิจัยความสนใจของคนวัย 40 ปีขึ้นไป เชื่ออนาคตเป็นตลาดใหญ่
นายธีระพงษ์ เขมฤกษ์อำพล กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท รักลูกแฟมิลี่กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยนโยบายและแผนธุรกิจในปี 2548 ว่า จะเน้นการวางตำแหน่งของธุรกิจที่มีอยู่ให้ชัดเจนขึ้น โดยมีความพร้อมที่จะขยายงานด้านออแกไนเซอร์ ภายใต้บริษัท รักลูก ออแกไนเซอร์ จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทดังกล่าว ตั้งขึ้นมาเพื่อรับงานออแกไนซ์ ให้กับ บริษัทในเครือทั้งหมด ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดกิจกรรม 60-70 ครั้ง โดยมีความชำนาญเรื่องการจัดออแกไนซ์ให้กับงานเกี่ยวกับเด็ก และครอบครัว ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมา บริษัทจึงเห็นศักยภาพของทีมงาน จึงเปิดรับงานจากลูกค้าภายนอกอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อม ด้วยการเปิดรับพนักงานอีก 8-10 คนในตำแหน่ง ดีไซน์เนอร์ และครีเอทีฟ จากปัจจุบันทีมออแกไนซ์มีพนักงานอยู่แล้ว กว่า 50 คน นอกจากนั้นยังได้ลงทุนอีกประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม อาทิ แสง เสียง เป็นต้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีรายได้จากธุรกิจเพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านบาท จากปกติ ที่รับเฉพาะงานของบริษัท คิดเป็นรายได้ต่อปีที่ประมาณ 30 ล้านบาท
“เราจะรับงานออแกไนซ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก และครอบครัวเท่านั้น เพราะเราเชื่อในความชำนาญ และประสบการณ์ที่มีอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็มีหลายบริษัทมาจ้างให้เราทำออแกไนซ์ เพราะพอใจในผลงาน แต่วันนี้เราประกาศอย่างจริงจังที่ยินดีรับงานนอก เชื่อว่าลูกค้าจะให้ความไว้วางใจเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ผลงานที่ผ่านมา นอกจากทำกิจกรรมแม่และเด็ก รวมถึงกิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัวแล้ว เรายังรับทำออแกไนซ์เปิดตัวโครงการให้กับหมู่บ้านอีกด้วย”
นอกจากนั้นบริษัทยังให้ความสำคัญกับธุรกิจ พับลิชชิ่ง แอนด์เซอร์วิส โดยจะเปิดให้บริการรับออกแบบจัดรูปหน้า ตลอดถึงจัดหาโรงพิมพ์ให้ลูกค้า อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายออกหัวหนังสือใหม่ แต่จะเร่งทำตลาดเชิงรุกให้กับหนังสือที่มีอยู่ขณะนี้แข็งแรง เพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันที่มีมากขึ้น ปัจจุบันบริษัท มีนิตยสารในเครือ 4 ฉบับ ได้แก่ ดวงใจพ่อแม่ , Kids & School , teen และ kids & family นอกจากนั้น ในธุรกิจสิ่งพิมพ์ บริษัทยังออกหนังสือพ็อกเกตบุ๊กอีกประมาณ 20 เล่มต่อปี
ทั้งนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับงานวิจัย โดยตั้งเป้าไว้ว่า ใน 1 ปี จะมีงานวิจัยด้านครอบครัว เด็ก และเยาวชน เพื่อนำเสนอต่อสังคม 1 ชิ้นงาน ซึ่งในปีนี้อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ว่ามีความสนใจเรื่องใดบ้าง โดยมองว่าตลาดนี้เริ่มมีความสำคัญ เนื่องจากอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะเป็นจำนวนประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ขณะเดียวกันพฤติกรรมคนไทยเริ่มเปลี่ยน อายุเฉลี่ยของการแต่งงานสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนไม่แต่งงานเพิ่มขึ้นด้วย และหากถึงเวลาสมควร บริษัทก็มีแผนที่จะออกหัวหนังสือเพื่อคนกลุ่มนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแข่งขันในธุรกิจนิตยสาร ที่เริ่มรุนแรงขึ้น มีหนังสือหัวใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แม้เซกเมนต์หนังสือครอบครัวจะยังมีจำนวนน้อยอยู่ก็ตาม แต่ก็เป็นไปตามสัดส่วนของกลุ่มผู้บริโภคที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งบริษัทเชื่อในจุดแข็งที่อยู่ในธุรกิจเซกเม้นท์ครอบครัวมา 22 ปีเต็ม มีฐานสมาชิก และคนรู้จักทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะเรารู้จักแม่คนไทยดีกว่าใคร ทำให้เข้าใจถึงความต้องการ ประกอบกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของแม่ไทยที่เปลี่ยนไป หันมาใช้จ่ายเพื่อหาความรู้และประสบการณ์ในเรื่องของลูกและครอบครัวมากขึ้น ตลาดนี้จึงขยายตัวเพิ่มขึ้น
นายธีระพงษ์ กล่าวถึง รายได้รวมในปีนี้ว่า ประมาณการณ์ไว้ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2547 ราว 10-12% โดยรายได้หลัก 60% ยังมาจากธุรกิจนิตยสาร ส่วนอีก 40% จะมาจากธุรกิจอื่นๆ ในเครือ เช่น รายการโทรทัศน์ พรินติ้ง พ็อกเกตบุ๊ก และงานออแกไนซ์
นายธีระพงษ์ เขมฤกษ์อำพล กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท รักลูกแฟมิลี่กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยนโยบายและแผนธุรกิจในปี 2548 ว่า จะเน้นการวางตำแหน่งของธุรกิจที่มีอยู่ให้ชัดเจนขึ้น โดยมีความพร้อมที่จะขยายงานด้านออแกไนเซอร์ ภายใต้บริษัท รักลูก ออแกไนเซอร์ จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทดังกล่าว ตั้งขึ้นมาเพื่อรับงานออแกไนซ์ ให้กับ บริษัทในเครือทั้งหมด ซึ่งแต่ละปีจะมีการจัดกิจกรรม 60-70 ครั้ง โดยมีความชำนาญเรื่องการจัดออแกไนซ์ให้กับงานเกี่ยวกับเด็ก และครอบครัว ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมา บริษัทจึงเห็นศักยภาพของทีมงาน จึงเปิดรับงานจากลูกค้าภายนอกอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อม ด้วยการเปิดรับพนักงานอีก 8-10 คนในตำแหน่ง ดีไซน์เนอร์ และครีเอทีฟ จากปัจจุบันทีมออแกไนซ์มีพนักงานอยู่แล้ว กว่า 50 คน นอกจากนั้นยังได้ลงทุนอีกประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม อาทิ แสง เสียง เป็นต้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีรายได้จากธุรกิจเพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านบาท จากปกติ ที่รับเฉพาะงานของบริษัท คิดเป็นรายได้ต่อปีที่ประมาณ 30 ล้านบาท
“เราจะรับงานออแกไนซ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก และครอบครัวเท่านั้น เพราะเราเชื่อในความชำนาญ และประสบการณ์ที่มีอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็มีหลายบริษัทมาจ้างให้เราทำออแกไนซ์ เพราะพอใจในผลงาน แต่วันนี้เราประกาศอย่างจริงจังที่ยินดีรับงานนอก เชื่อว่าลูกค้าจะให้ความไว้วางใจเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น ผลงานที่ผ่านมา นอกจากทำกิจกรรมแม่และเด็ก รวมถึงกิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัวแล้ว เรายังรับทำออแกไนซ์เปิดตัวโครงการให้กับหมู่บ้านอีกด้วย”
นอกจากนั้นบริษัทยังให้ความสำคัญกับธุรกิจ พับลิชชิ่ง แอนด์เซอร์วิส โดยจะเปิดให้บริการรับออกแบบจัดรูปหน้า ตลอดถึงจัดหาโรงพิมพ์ให้ลูกค้า อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายออกหัวหนังสือใหม่ แต่จะเร่งทำตลาดเชิงรุกให้กับหนังสือที่มีอยู่ขณะนี้แข็งแรง เพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันที่มีมากขึ้น ปัจจุบันบริษัท มีนิตยสารในเครือ 4 ฉบับ ได้แก่ ดวงใจพ่อแม่ , Kids & School , teen และ kids & family นอกจากนั้น ในธุรกิจสิ่งพิมพ์ บริษัทยังออกหนังสือพ็อกเกตบุ๊กอีกประมาณ 20 เล่มต่อปี
ทั้งนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับงานวิจัย โดยตั้งเป้าไว้ว่า ใน 1 ปี จะมีงานวิจัยด้านครอบครัว เด็ก และเยาวชน เพื่อนำเสนอต่อสังคม 1 ชิ้นงาน ซึ่งในปีนี้อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ว่ามีความสนใจเรื่องใดบ้าง โดยมองว่าตลาดนี้เริ่มมีความสำคัญ เนื่องจากอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะเป็นจำนวนประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ขณะเดียวกันพฤติกรรมคนไทยเริ่มเปลี่ยน อายุเฉลี่ยของการแต่งงานสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนไม่แต่งงานเพิ่มขึ้นด้วย และหากถึงเวลาสมควร บริษัทก็มีแผนที่จะออกหัวหนังสือเพื่อคนกลุ่มนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแข่งขันในธุรกิจนิตยสาร ที่เริ่มรุนแรงขึ้น มีหนังสือหัวใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แม้เซกเมนต์หนังสือครอบครัวจะยังมีจำนวนน้อยอยู่ก็ตาม แต่ก็เป็นไปตามสัดส่วนของกลุ่มผู้บริโภคที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งบริษัทเชื่อในจุดแข็งที่อยู่ในธุรกิจเซกเม้นท์ครอบครัวมา 22 ปีเต็ม มีฐานสมาชิก และคนรู้จักทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะเรารู้จักแม่คนไทยดีกว่าใคร ทำให้เข้าใจถึงความต้องการ ประกอบกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของแม่ไทยที่เปลี่ยนไป หันมาใช้จ่ายเพื่อหาความรู้และประสบการณ์ในเรื่องของลูกและครอบครัวมากขึ้น ตลาดนี้จึงขยายตัวเพิ่มขึ้น
นายธีระพงษ์ กล่าวถึง รายได้รวมในปีนี้ว่า ประมาณการณ์ไว้ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2547 ราว 10-12% โดยรายได้หลัก 60% ยังมาจากธุรกิจนิตยสาร ส่วนอีก 40% จะมาจากธุรกิจอื่นๆ ในเครือ เช่น รายการโทรทัศน์ พรินติ้ง พ็อกเกตบุ๊ก และงานออแกไนซ์