“นันยาง” หวั่นพ่อแม่ผู้ปกครองปีไก่ควักกระเป๋ายากในช่วงเปิดภาคเรียน วางหมาก “แบ็ค ทู สคูล” ปีนี้รองเท้าผ้าใบไม่ขึ้นราคา ยอมแบกรับภาระต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งกว่า10% ปรับขบวนทัพสยายปีกขยายฐานลูกค้ากลุ่มเด็กประถม หวังเป็นการปูพรมสร้างรอยัลตี้ตั้งแต่เด็ก ทุ่มงบตลาด 30 ล้านบาทแลกหมัดช่วงแบ็ค ทู สคูล มั่นใจสิ้นปีแชร์พุ่ง5%
นายเอี่ยม พสุธารชาติ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นันยาง มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าผ้าใบ ,รองเท้ากีฬาตรานันยาง และรองเท้าฟองน้ำตราช้างดาว เปิดเผยว่า ขณะนี้วัตถุดิบการผลิตรองเท้าผ้าใบ โดยเฉพาะยางปรับราคาสูงขึ้นมากกว่า 10 % หรือจาก 30 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 42 บาทต่อกิโลกรัม แต่ในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับราคารองเท้าผ้าใบสูงขึ้น โดยยังคงไว้ที่ราคาเดิมคือ 200-240 บาท เนื่องจากมองว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้มีอัตราการเติบโตไม่หวือหวามากนัก ทำให้กลุ่มผู้ปกครองระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงเปิดภาคเรียนเดือนพฤษภาคมนี้
สำหรับแผนการทำตลาดรองเท้าผ้าใบตรานันยางปีนี้ บริษัทจะขยายฐานกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยวางไว้เป็นกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี1-6 จากเดิมกลุ่มเป้าหมายของบริษัทส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี 1-6 เป็นหลักมากกว่า ทั้งนี้เหตุผลที่บริษัทขยายกลุ่มเด็กประถมมากขึ้น เป็นเพราะเพื่อสร้างความภักดีต่อตราสินค้าให้กับเด็กตั้งแต่แรก โดยบริษัทจะใช้สินค้านันยาง พลัส รองเท้าผ้าใบสำหรับกลุ่มเด็ก ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการทำตลาดอย่างจริงจังเจาะตลาดเด็กเล็กมากขึ้น
ในปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาใช้ 25 ล้านบาท โดยในช่วงแบ็ค ทู สคูล บริษัทจะเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ภายใต้แนวคิดเก๋าตั้งแต่รุ่นพ่อ สานต่อแนวคิดในปีที่ผ่านมาเก๋าไม่เก๋าถามพ่อดูซิ เพื่อตอกย้ำชื่อนันยางให้กับกลุ่มเป้าหมาย และเสริมภาพลักษณ์ของนันยางอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมสื่อในรูปแบบอื่นๆเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อาทิ เกมส์ออนไลน์ การจัดกิจกรรมเพ้นท์รองเท้า ฯลฯ
“คอนเซปต์รองเท้าผ้าใบนันยาง เป็นรองเท้าสำหรับเด็กนักเรียนในเมือง อีกทั้งการทำตลาดที่ผ่านมาบริษัทเน้นคุณภาพ ภายใต้ราคาเดิมมาโดยตลอด ดังนั้นแม้ว่าปัจจุบันตลาดรองเท้าผ้าใบจะมีการแข่งขันที่รุนแรง มีผู้ประกอบเป็นจำนวนมากอยู่ในตลาด แต่บริษัทก็ยังคงเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง20% หรือมีสัดส่วนการขายมากกว่า3.5ล้านคู่”
นายเอี่ยม กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกช่องทางมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางในโมเดิร์นเทรด จากปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่าย 48 ราย และร้านค้าทั่วไป 4,000-5,000 แห่ง
สำหรับตลาดรองเท้าผ้าใบมูลค่าราว1,500-1,600 ล้านบาท หรือ 15 ล้านคู่ ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 5% โดยหลังจากที่บริษัทขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ คาดว่าปีนี้รองเท้าผ้าใบนันยางจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 25% ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทมาจากรองเท้าฟองน้ำราว 50% และรองเท้าผ้าใบ 50%
นายเอี่ยม พสุธารชาติ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นันยาง มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าผ้าใบ ,รองเท้ากีฬาตรานันยาง และรองเท้าฟองน้ำตราช้างดาว เปิดเผยว่า ขณะนี้วัตถุดิบการผลิตรองเท้าผ้าใบ โดยเฉพาะยางปรับราคาสูงขึ้นมากกว่า 10 % หรือจาก 30 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 42 บาทต่อกิโลกรัม แต่ในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับราคารองเท้าผ้าใบสูงขึ้น โดยยังคงไว้ที่ราคาเดิมคือ 200-240 บาท เนื่องจากมองว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้มีอัตราการเติบโตไม่หวือหวามากนัก ทำให้กลุ่มผู้ปกครองระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงเปิดภาคเรียนเดือนพฤษภาคมนี้
สำหรับแผนการทำตลาดรองเท้าผ้าใบตรานันยางปีนี้ บริษัทจะขยายฐานกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยวางไว้เป็นกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี1-6 จากเดิมกลุ่มเป้าหมายของบริษัทส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี 1-6 เป็นหลักมากกว่า ทั้งนี้เหตุผลที่บริษัทขยายกลุ่มเด็กประถมมากขึ้น เป็นเพราะเพื่อสร้างความภักดีต่อตราสินค้าให้กับเด็กตั้งแต่แรก โดยบริษัทจะใช้สินค้านันยาง พลัส รองเท้าผ้าใบสำหรับกลุ่มเด็ก ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการทำตลาดอย่างจริงจังเจาะตลาดเด็กเล็กมากขึ้น
ในปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาใช้ 25 ล้านบาท โดยในช่วงแบ็ค ทู สคูล บริษัทจะเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ภายใต้แนวคิดเก๋าตั้งแต่รุ่นพ่อ สานต่อแนวคิดในปีที่ผ่านมาเก๋าไม่เก๋าถามพ่อดูซิ เพื่อตอกย้ำชื่อนันยางให้กับกลุ่มเป้าหมาย และเสริมภาพลักษณ์ของนันยางอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมสื่อในรูปแบบอื่นๆเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อาทิ เกมส์ออนไลน์ การจัดกิจกรรมเพ้นท์รองเท้า ฯลฯ
“คอนเซปต์รองเท้าผ้าใบนันยาง เป็นรองเท้าสำหรับเด็กนักเรียนในเมือง อีกทั้งการทำตลาดที่ผ่านมาบริษัทเน้นคุณภาพ ภายใต้ราคาเดิมมาโดยตลอด ดังนั้นแม้ว่าปัจจุบันตลาดรองเท้าผ้าใบจะมีการแข่งขันที่รุนแรง มีผู้ประกอบเป็นจำนวนมากอยู่ในตลาด แต่บริษัทก็ยังคงเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง20% หรือมีสัดส่วนการขายมากกว่า3.5ล้านคู่”
นายเอี่ยม กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกช่องทางมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางในโมเดิร์นเทรด จากปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่าย 48 ราย และร้านค้าทั่วไป 4,000-5,000 แห่ง
สำหรับตลาดรองเท้าผ้าใบมูลค่าราว1,500-1,600 ล้านบาท หรือ 15 ล้านคู่ ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 5% โดยหลังจากที่บริษัทขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ คาดว่าปีนี้รองเท้าผ้าใบนันยางจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 25% ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทมาจากรองเท้าฟองน้ำราว 50% และรองเท้าผ้าใบ 50%