ผู้จัดการรายวัน – แบลคมอร์สชูกลยุทธ์ไอเอ็มซีทำตลาด เตรียมนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่ 2-5 ตัว ตั้งเป้ายอดขายปีหน้าโต 15% ล่าสุดจับมือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดกิจกรรมประกวดการออกกำลังกาย กระตุ้นให้คนไทยหันออกกำลังกาย พร้อมสนทำตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและควบคุมน้ำหนัก เผยอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา
นางวรพรรณ ยรรยง ผู้บริหารบริษัท แบลคมอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายของแบลคมอร์สในปี 2548 (มิ.ย. 2548 - ก.ค. 2549) จะโตเพิ่มขึ้นอีก 15% จากการที่บริษัทฯ ใช้งบทางการตลาดเพิ่มขึ้น10% ประกอบกับการเน้นใช้กลยุทธ์ทางด้านไอเอ็มซี ผ่านทางสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผสมกับกิจกรรมทางการตลาดในเชิงไลฟ์สไตล์และเพื่อสังคมมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การออกบูท, การจัดตั้งแบลคมอร์ส คลับ และการเปิดคอล เซ็นเตอร์ เป็นต้น รวมถึงการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ประมาณ 2-5 ตัว ในกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2547 (มิ.ย. 2547- ก.ค. 2548) บริษัทฯมีอัตราการเติบโตของยอดขาย 15% จากปัจจัย 3 ด้าน ได้แก่ ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีกระแสความแรงจากทั่วโลกอยู่แล้ว และการที่แบลคมอร์สเป็นแบรนด์ที่มีมานานและได้รับการยอมรับมากว่า 70 ปี รวมถึงการทำตลาดอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ ซึ่งในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ จะเน้นในเรื่องการออกกำลังกายหรือสปอร์ต อินโนเวชั่น และจัดกิจกรรมเพื่อคืนกำไรให้สังคม เช่น การบริจาคเงินจำนวน 1 ล้านบาทช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ เป็นต้น
สำหรับงบทางการตลาดปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 60 ล้านบาท ขณะนี้ผ่านไป 2 ไตรมาสบริษัทฯใช้ไป 60% ผ่านทางการจัดกิจกรรมทั้งบีโลว์ เดอะ ไลน์ และอโบพ เดอะ ไลน์ ล่าสุด บริษัทฯ ได้จับมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านบาทจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ “โครงการประกวดนวัตกรรมการออกกำลังกายแห่งประเทศไทย” เพื่อต้องการกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจการออกกำลังกายในรูปแบบใหม่ๆ และส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการออกกำลังกาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดุลยภาพกายและใจ” ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯและเงินรางวัลกว่า 300,000 บาท
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์แบลคมอร์สที่มีในบริษัทแม่ที่ประเทศออสเตรเลียมีกว่า 21 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑเสริมอาหาร เป็นต้น แต่สินค้าที่มีวางขายในไทยขณะนี้มีประมาณ 23 รายการ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มวิตามินและเกลือแร่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งตัวที่ขายดีสุด คือ ผลิตภัณฑ์ชะลอความเสื่อมของเซลล์ คิดเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ่อนคลายความเครียดและกลุ่มสมอง คิดเป็น 20% อื่นๆ อีก 30%
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มพรีเมี่ยม ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นลูกค้าผู้หญิง 55% และผู้ชาย 45% คาดว่าภายใน 2 ปีนี้สัดส่วนลูกค้าผู้ชายและผู้หญิงจะเท่ากันคือ อย่างละ 50% เนื่องจากผู้ชายสมัยใหม่หันมาสนใจในสุขภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ในขณะที่ช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทฯในปัจจุบันมีครอบคลุม ตั้งแต่ร้านขายยา ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและร้านขายยาระบบเครือข่ายในโมเดิร์นเทรดกว่า 1,300 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 580 แห่ง และต่างจังหวัด 720 แห่ง
สำหรับตลาดรวมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยมีมูลค่าประมาณ 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์วิตามิน เกลือแร่ และสมุนไพร คิดเป็น 30% และ 70% เป็นตลาดผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลในระยะสั้นหรือผลิตภัณฑ์แฟชั่น เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและควบคุมน้ำหนัก ซึ่งแบลคมอร์สยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าวนี้ แต่ขณะนี้ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทแม่กำลังอยู่ในขั้นวิจัยและคิดค้นสินค้าดังกล่าวอยู่ประมาณปีกว่าแล้ว เนื่องจากมองว่าตลาดนี้น่าสนใจและมีอัตราการโตมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มวิตามินและกลุ่มเสริมอาหารมีอัตราการโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10-15%
นางวรพรรณ ยรรยง ผู้บริหารบริษัท แบลคมอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายของแบลคมอร์สในปี 2548 (มิ.ย. 2548 - ก.ค. 2549) จะโตเพิ่มขึ้นอีก 15% จากการที่บริษัทฯ ใช้งบทางการตลาดเพิ่มขึ้น10% ประกอบกับการเน้นใช้กลยุทธ์ทางด้านไอเอ็มซี ผ่านทางสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผสมกับกิจกรรมทางการตลาดในเชิงไลฟ์สไตล์และเพื่อสังคมมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การออกบูท, การจัดตั้งแบลคมอร์ส คลับ และการเปิดคอล เซ็นเตอร์ เป็นต้น รวมถึงการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ประมาณ 2-5 ตัว ในกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2547 (มิ.ย. 2547- ก.ค. 2548) บริษัทฯมีอัตราการเติบโตของยอดขาย 15% จากปัจจัย 3 ด้าน ได้แก่ ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีกระแสความแรงจากทั่วโลกอยู่แล้ว และการที่แบลคมอร์สเป็นแบรนด์ที่มีมานานและได้รับการยอมรับมากว่า 70 ปี รวมถึงการทำตลาดอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ ซึ่งในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ จะเน้นในเรื่องการออกกำลังกายหรือสปอร์ต อินโนเวชั่น และจัดกิจกรรมเพื่อคืนกำไรให้สังคม เช่น การบริจาคเงินจำนวน 1 ล้านบาทช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ เป็นต้น
สำหรับงบทางการตลาดปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 60 ล้านบาท ขณะนี้ผ่านไป 2 ไตรมาสบริษัทฯใช้ไป 60% ผ่านทางการจัดกิจกรรมทั้งบีโลว์ เดอะ ไลน์ และอโบพ เดอะ ไลน์ ล่าสุด บริษัทฯ ได้จับมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านบาทจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ “โครงการประกวดนวัตกรรมการออกกำลังกายแห่งประเทศไทย” เพื่อต้องการกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจการออกกำลังกายในรูปแบบใหม่ๆ และส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการออกกำลังกาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดุลยภาพกายและใจ” ชิงรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯและเงินรางวัลกว่า 300,000 บาท
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์แบลคมอร์สที่มีในบริษัทแม่ที่ประเทศออสเตรเลียมีกว่า 21 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑเสริมอาหาร เป็นต้น แต่สินค้าที่มีวางขายในไทยขณะนี้มีประมาณ 23 รายการ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มวิตามินและเกลือแร่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งตัวที่ขายดีสุด คือ ผลิตภัณฑ์ชะลอความเสื่อมของเซลล์ คิดเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ่อนคลายความเครียดและกลุ่มสมอง คิดเป็น 20% อื่นๆ อีก 30%
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มพรีเมี่ยม ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นลูกค้าผู้หญิง 55% และผู้ชาย 45% คาดว่าภายใน 2 ปีนี้สัดส่วนลูกค้าผู้ชายและผู้หญิงจะเท่ากันคือ อย่างละ 50% เนื่องจากผู้ชายสมัยใหม่หันมาสนใจในสุขภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ในขณะที่ช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทฯในปัจจุบันมีครอบคลุม ตั้งแต่ร้านขายยา ร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและร้านขายยาระบบเครือข่ายในโมเดิร์นเทรดกว่า 1,300 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 580 แห่ง และต่างจังหวัด 720 แห่ง
สำหรับตลาดรวมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยมีมูลค่าประมาณ 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์วิตามิน เกลือแร่ และสมุนไพร คิดเป็น 30% และ 70% เป็นตลาดผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลในระยะสั้นหรือผลิตภัณฑ์แฟชั่น เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและควบคุมน้ำหนัก ซึ่งแบลคมอร์สยังไม่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าวนี้ แต่ขณะนี้ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทแม่กำลังอยู่ในขั้นวิจัยและคิดค้นสินค้าดังกล่าวอยู่ประมาณปีกว่าแล้ว เนื่องจากมองว่าตลาดนี้น่าสนใจและมีอัตราการโตมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มวิตามินและกลุ่มเสริมอาหารมีอัตราการโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10-15%