ผู้จัดการรายวัน - นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหาร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 แถลงถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีนี้ ว่า บริษัทฯมีกำไร 384 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 55 ล้านบาท หรือ 13% เนื่องจากมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การลงทุนในรายการใหม่ การย้ายสำนักงานใหม่ การที่รายได้จากโฆษณาน้อยลง ส่งผลทำให้กำไรต่ำกว่าไตรมาสที่ผ่านมา 164 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ประกอบกับการขาดทุนในเงินกองทุนรวมตราสารหนี้ที่เร่งจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดมาก
ในส่วนธุรกิจโทรทัศน์นั้นจากการปรับผังรายการช่วงไพรมไทมมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด และการขายโฆษณาช่วงไพรมไทม์ยังทำได้ไม่ดีเหมือนก่อนส่งผลให้กำไรลดลง ในขณะที่ธุรกิจอื่น
ดีหมด อาทิ การจัดคอนเสิร์ต, วิทยุ, โฮมวิดีโอ เป็นต้น อีกทั้ง ปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ไข้หวัดนก เหตุการณ์ทางใต้ และการปรับราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาหุ้นบีอีซีตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจล่มเมื่อหลายปีก่อน แต่ในแง่ผลประกอบการไม่ส่งผลกระทบมากนัก
ส่วนธุรกิจในไตรมาสสี่ของบริษัทฯ ปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย แต่อุตสาหกรรมโทรทัศน์ช่วงธันวาคมถือเป็นช่วงที่โลว์ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ดูทีวีแต่จะไปชอปปิ้งนอกบ้านแทน แต่คาดว่าในปีหน้าการทุ่มเม็ดเงินกับสื่อโฆษณาทางทีวีจะมีความร้อนแรงมาก เนื่องจากมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้น
สำหรับทิศทางในปีหน้า บริษัทฯ เตรียมแผนออกอากาศ 24 ชั่วโมง จากเดิมที่หน้าจอจะเป็นคัลเลอร์ บาร์แต่ปีหน้าคาดว่าจะทำเป็นรายการที่มีสาระออกอากาศแทน หรือการถ่ายทอดฟุตบอลจากต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้แก่บริษัทฯ และเตรียมปรับผังรายการใหม่ โดยจะเน้นการพัฒนาช่วงเวลาใหม่ที่ยังไม่มีสถานีใดทำ อาทิ เวลาก่อนข่าวช่วงเย็นจะเสนอรายการสำหรับเด็ก ครอบครัว และสาระ โดยช่วงเช้าต่อจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้จะเพิ่มรายการเกี่ยวกับผู้หญิง เพื่อต้องการสร้างกลุ่มผู้ชมกลุ่มใหม่
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯปีที่แล้วมียอด 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากละคร 50% ข่าว 10% ที่เหลือเป็นวาไรตี้,หนังจีน เกมโชว์ และโฆษณา 40% ในขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดด้านเม็ดเงินโฆษณาบริษัทมีส่วนแบ่ง 24% ตกลง 1% ด้านเรตติ้งคนดูช่อง 3 คิดเป็น 22% ต่ำกว่าช่อง 7 ถึงเท่าตัว ไอทีวี 12% ช่อง9 มี 9% และช่อง5 มี 8%
ในส่วนธุรกิจโทรทัศน์นั้นจากการปรับผังรายการช่วงไพรมไทมมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด และการขายโฆษณาช่วงไพรมไทม์ยังทำได้ไม่ดีเหมือนก่อนส่งผลให้กำไรลดลง ในขณะที่ธุรกิจอื่น
ดีหมด อาทิ การจัดคอนเสิร์ต, วิทยุ, โฮมวิดีโอ เป็นต้น อีกทั้ง ปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ไข้หวัดนก เหตุการณ์ทางใต้ และการปรับราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาหุ้นบีอีซีตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจล่มเมื่อหลายปีก่อน แต่ในแง่ผลประกอบการไม่ส่งผลกระทบมากนัก
ส่วนธุรกิจในไตรมาสสี่ของบริษัทฯ ปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย แต่อุตสาหกรรมโทรทัศน์ช่วงธันวาคมถือเป็นช่วงที่โลว์ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ดูทีวีแต่จะไปชอปปิ้งนอกบ้านแทน แต่คาดว่าในปีหน้าการทุ่มเม็ดเงินกับสื่อโฆษณาทางทีวีจะมีความร้อนแรงมาก เนื่องจากมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้น
สำหรับทิศทางในปีหน้า บริษัทฯ เตรียมแผนออกอากาศ 24 ชั่วโมง จากเดิมที่หน้าจอจะเป็นคัลเลอร์ บาร์แต่ปีหน้าคาดว่าจะทำเป็นรายการที่มีสาระออกอากาศแทน หรือการถ่ายทอดฟุตบอลจากต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้แก่บริษัทฯ และเตรียมปรับผังรายการใหม่ โดยจะเน้นการพัฒนาช่วงเวลาใหม่ที่ยังไม่มีสถานีใดทำ อาทิ เวลาก่อนข่าวช่วงเย็นจะเสนอรายการสำหรับเด็ก ครอบครัว และสาระ โดยช่วงเช้าต่อจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้จะเพิ่มรายการเกี่ยวกับผู้หญิง เพื่อต้องการสร้างกลุ่มผู้ชมกลุ่มใหม่
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯปีที่แล้วมียอด 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากละคร 50% ข่าว 10% ที่เหลือเป็นวาไรตี้,หนังจีน เกมโชว์ และโฆษณา 40% ในขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดด้านเม็ดเงินโฆษณาบริษัทมีส่วนแบ่ง 24% ตกลง 1% ด้านเรตติ้งคนดูช่อง 3 คิดเป็น 22% ต่ำกว่าช่อง 7 ถึงเท่าตัว ไอทีวี 12% ช่อง9 มี 9% และช่อง5 มี 8%