ส.ส.ฝ่ายค้านถาม กกต.กลางสภา จะควบคุมการใช้งบประมาณแผ่นดินในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งอย่างไร ขณะที่ “วาสนา” สวนไม่ใช่หน้าที่ กกต. การใช้งบฯสภามีหน้าที่กำกับดูแล แต่พร้อมนำไปหารือ พร้อมติง แก้ไข กม.เลือกตั้งกำหนด 60 วันห้ามหาเสียงในลักษณะจูงใจ อาจขัด รธน.
วานนี้ (14 ต.ค.) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องรับทราบผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประจำปี 2546
นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า กรณีที่ กกต.ใช้อำนาจกึ่งตุลาการ ถือเป็นอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ แต่รู้สึกไม่มั่นใจถึงคำวินิจฉัยว่าจะปราศจากอคติจริงหรือไม่ ในรายงานของ กกต.พบว่าละเลยหน้าที่ที่สำคัญ คือการดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม จึงอยากถามถึงเรื่องความเที่ยงธรรมว่า กกต.จะวางกรอบ อย่างไร โดยเฉพาะการซื้อเสียงเลวร้ายมากขึ้น โดยผ่านการซื้อเสียงที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน และกรณีที่นายกรัฐมนตรี มีงบกลางกว่า 9 หมื่นล้านบาทนั้น ถ้าภายใน 60 วันก่อนครบวาระ รัฐบาลได้จ่ายเงินดังกล่าวให้กับประชาชนเพื่อหวังผลการเลือกตั้ง โดยผ่านการคิดในโครงการใหม่ในขณะนี้เป็นความเที่ยงธรรมหรือไม่
นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า สภาผู้แทนฯได้ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง โดยกำหนดเจตนารมย์ร่วมกันว่า การใช้เงินเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนในรูปของงบประมาณถือว่าผิดกฎหมาย จึงอยากให้ กกต.ปฎิบัติตามกฎหมายที่วางไว้ เพราะขณะนี้องค์กรอิสระที่ใช้อำนาจกึ่งตุลาการ ประชาชนเริ่มไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ์ได้ถามถึงการจัดสรรเงินกองทุน เพื่อการพัฒนาการเมืองว่า มีหลักเกณฑ์อย่างไร โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์มี 192 สาขา มีสมาชิกพรรค 3.4 ล้านคน ขณะที่พรรคไทยรักไทยมี 8 สาขา และสมาชิกพรรค 9.3 ล้านคน และเชื่อว่ามีบางส่วนประมาณ 2 ล้านคนที่ซ้ำซ้อนกับพรรคการเมืองอื่น ่เหตุใดพรรคไทยรักไทยกลับได้เงินสนับสนุนถึง 87 ล้านบาทเศษ มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ถึง 40 ล้านบาท
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทราบว่ามีรัฐมนตรีคนหนึ่งลงพื้นที่เพื่อดูแลเรื่องการเลือกตั้ง โดยใช้อำนาจและสัญญากับผู้ช่วยเกษตรจังหวัดว่าหากให้การช่วยเหลือในการเลือกตั้งจะเสนอตำแหน่งเกษตรจังหวัดให้ หากเป็นจริงกกต.จะเอาผิดอย่างไร
หลังจากอภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้ว พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ชี้แจงว่า ในกรณีที่สภาได้ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งโดยเฉพาะมาตรา 44 เพื่อกำหนดระยะเวลา 60 วันก่อนครบวาระห้ามหาเสียงในลักษณะจูงใจหรือสัญญาว่าจะให้ กกต.ได้นำมาพิจารณาแล้วเห็นว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 147(2) หรือไม่ ที่กำหนดว่าก่อนการประกาศผลเลือกตั้ง หากปรากฏหลักฐานการทุจริตก็ให้ กกต.สอบสวนโดยพลัน ซึ่งหากมีการหาเสียงจูงใจและมีหลักฐานการแจกเงิน หรือสิ่งของชัดเจนก่อน 60 วัน เพียง 1-2 วัน แสดงว่า กกต.จะพิจารณาไม่ได้ หรืออย่างไร
พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ปัญหาการสมัครสมาชิกพรรคการเมืองที่ซ้ำซ้อนกันนั้น ยอมรับว่ามีเกือบทุกพรรค โดยมีตัวเลขซ้ำซ้อนถึง 6 ล้านคน แต่เท่าที่ตรวจสอบ กฎหมายที่กกต.รับผิดชอบจำนวน 5 ฉบับ ไม่พบว่ามีมาตราใดที่บังคับให้คนหนึ่งสมัครสมาชิกพรรคเพียงพรรคเดียว แต่กกต.ได้ทำหนังสือแจ้งให้พรรคการเมืองแก้ไขข้อบังคับพรรค ให้คนหนึ่งคนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว เพราะเรื่องนี้จะส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณ และต่อไปควรมีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องดังกล่าว
“ปัญหาเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินไปหาเสียงจะชอบหรือไม่นั้น ขอเรียนว่า ผมไม่มีหน้าที่ในการควบคุมกำกับดูแลการใช้จ่ายงบเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของสภา ผมมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการเลือกตั้ง แต่ผมยินดีรับข้อเสนอไปหารือกับ กกต.คนอื่นในบางเรื่องบางประเด็น แต่การควบคุมโดยตรง ผมถือว่าไม่ใช่หน้าที่”พล.ต.อ.วาสนา กล่าว
ด้านนายปกิต พัฒนกุล อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ของสภาผู้แทนฯ ชี้แจงว่า ปัญหาระยะเวลาที่ห้ามหาเสียงในลักษณะจูงใจจะเห็นได้ว่า กกต.มีความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่ตรงกับสภาฯ ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดปัญหาระหว่างผู้สมัครและกกต.แน่นอน ทั้งนี้สภาฯได้กำหนดเวลาไว้ 60 วัน เพื่อเป็นการกำหนดกรอบให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นกรอบให้ กกต. ซึ่ง กกต.ต้องยึดถือตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 147(2) เพื่อมาดำเนินการกับผู้ทุจริตการเลือกตั้ง
วานนี้ (14 ต.ค.) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องรับทราบผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประจำปี 2546
นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า กรณีที่ กกต.ใช้อำนาจกึ่งตุลาการ ถือเป็นอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ แต่รู้สึกไม่มั่นใจถึงคำวินิจฉัยว่าจะปราศจากอคติจริงหรือไม่ ในรายงานของ กกต.พบว่าละเลยหน้าที่ที่สำคัญ คือการดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม จึงอยากถามถึงเรื่องความเที่ยงธรรมว่า กกต.จะวางกรอบ อย่างไร โดยเฉพาะการซื้อเสียงเลวร้ายมากขึ้น โดยผ่านการซื้อเสียงที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน และกรณีที่นายกรัฐมนตรี มีงบกลางกว่า 9 หมื่นล้านบาทนั้น ถ้าภายใน 60 วันก่อนครบวาระ รัฐบาลได้จ่ายเงินดังกล่าวให้กับประชาชนเพื่อหวังผลการเลือกตั้ง โดยผ่านการคิดในโครงการใหม่ในขณะนี้เป็นความเที่ยงธรรมหรือไม่
นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า สภาผู้แทนฯได้ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง โดยกำหนดเจตนารมย์ร่วมกันว่า การใช้เงินเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนในรูปของงบประมาณถือว่าผิดกฎหมาย จึงอยากให้ กกต.ปฎิบัติตามกฎหมายที่วางไว้ เพราะขณะนี้องค์กรอิสระที่ใช้อำนาจกึ่งตุลาการ ประชาชนเริ่มไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ์ได้ถามถึงการจัดสรรเงินกองทุน เพื่อการพัฒนาการเมืองว่า มีหลักเกณฑ์อย่างไร โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์มี 192 สาขา มีสมาชิกพรรค 3.4 ล้านคน ขณะที่พรรคไทยรักไทยมี 8 สาขา และสมาชิกพรรค 9.3 ล้านคน และเชื่อว่ามีบางส่วนประมาณ 2 ล้านคนที่ซ้ำซ้อนกับพรรคการเมืองอื่น ่เหตุใดพรรคไทยรักไทยกลับได้เงินสนับสนุนถึง 87 ล้านบาทเศษ มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ถึง 40 ล้านบาท
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทราบว่ามีรัฐมนตรีคนหนึ่งลงพื้นที่เพื่อดูแลเรื่องการเลือกตั้ง โดยใช้อำนาจและสัญญากับผู้ช่วยเกษตรจังหวัดว่าหากให้การช่วยเหลือในการเลือกตั้งจะเสนอตำแหน่งเกษตรจังหวัดให้ หากเป็นจริงกกต.จะเอาผิดอย่างไร
หลังจากอภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้ว พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ชี้แจงว่า ในกรณีที่สภาได้ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งโดยเฉพาะมาตรา 44 เพื่อกำหนดระยะเวลา 60 วันก่อนครบวาระห้ามหาเสียงในลักษณะจูงใจหรือสัญญาว่าจะให้ กกต.ได้นำมาพิจารณาแล้วเห็นว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 147(2) หรือไม่ ที่กำหนดว่าก่อนการประกาศผลเลือกตั้ง หากปรากฏหลักฐานการทุจริตก็ให้ กกต.สอบสวนโดยพลัน ซึ่งหากมีการหาเสียงจูงใจและมีหลักฐานการแจกเงิน หรือสิ่งของชัดเจนก่อน 60 วัน เพียง 1-2 วัน แสดงว่า กกต.จะพิจารณาไม่ได้ หรืออย่างไร
พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ปัญหาการสมัครสมาชิกพรรคการเมืองที่ซ้ำซ้อนกันนั้น ยอมรับว่ามีเกือบทุกพรรค โดยมีตัวเลขซ้ำซ้อนถึง 6 ล้านคน แต่เท่าที่ตรวจสอบ กฎหมายที่กกต.รับผิดชอบจำนวน 5 ฉบับ ไม่พบว่ามีมาตราใดที่บังคับให้คนหนึ่งสมัครสมาชิกพรรคเพียงพรรคเดียว แต่กกต.ได้ทำหนังสือแจ้งให้พรรคการเมืองแก้ไขข้อบังคับพรรค ให้คนหนึ่งคนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว เพราะเรื่องนี้จะส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณ และต่อไปควรมีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องดังกล่าว
“ปัญหาเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินไปหาเสียงจะชอบหรือไม่นั้น ขอเรียนว่า ผมไม่มีหน้าที่ในการควบคุมกำกับดูแลการใช้จ่ายงบเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของสภา ผมมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการเลือกตั้ง แต่ผมยินดีรับข้อเสนอไปหารือกับ กกต.คนอื่นในบางเรื่องบางประเด็น แต่การควบคุมโดยตรง ผมถือว่าไม่ใช่หน้าที่”พล.ต.อ.วาสนา กล่าว
ด้านนายปกิต พัฒนกุล อดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ของสภาผู้แทนฯ ชี้แจงว่า ปัญหาระยะเวลาที่ห้ามหาเสียงในลักษณะจูงใจจะเห็นได้ว่า กกต.มีความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่ตรงกับสภาฯ ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดปัญหาระหว่างผู้สมัครและกกต.แน่นอน ทั้งนี้สภาฯได้กำหนดเวลาไว้ 60 วัน เพื่อเป็นการกำหนดกรอบให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นกรอบให้ กกต. ซึ่ง กกต.ต้องยึดถือตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 147(2) เพื่อมาดำเนินการกับผู้ทุจริตการเลือกตั้ง


