“ทักษิณ"สั่งจัดเวที “รวมพลคนด่ารัฐบาล” กลางเดือนต.ค.เปิดโอกาสให้ด่าได้เต็มที่ และจะให้รัฐมนตรีไปฟังเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขการทำงาน ด้าน “ส.ศิวรักษ์”นำทีมชำแหละ“ทักษิณ”ใช้ทรัพย์สินชาติเอื้อประโยชน์พวกพ้อง จวกเป็นคนตระบัดสัตย์ และฉ้อฉล ชี้ไร้ทางเยียวยา เผยทางออกเดียวคือต้องทุ่มลงจากเก้าอี้ "เอกยุทธ"จี้ตรวจสอบการเสียภาษีของครอบครัวนายกฯและเครือญาติ แฉ3ปีที่เป็นนายกฯรวยเป็นแสนล้าน “บัญญัติ”ประกาศกร้าวปราบกลโกงทุจริตทุกรูปแบบ คลอดนโยบายและมาตรการรื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน
เมื่อเวลา 10.30 น.วานนี้ (26ก.ย.)ที่พรรคไทยรักไทย ถนนราชวิถี นายภิมุข สิมะโรจน์ แถลงข่าว การจัดงานเสวนาในหัวข้อ“รวมพลคนด่ารัฐบาล”ที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลเข้าร่วมการเสวนาครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยจะมีทั้งรัฐมนตรี และ ส.ส.ของพรรคไปรับฟังปัญหาด้วย เพื่อนำกลับมาปรับปรุงการทำงานของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีอาจจะอยู่ร่วมงานเป็นบางช่วง แต่จะมีตัวแทนของภาครัฐบาลนั่งฟังอยู่ตลอด ฝ่ายค้านอยากจะมาร่วมงานด้วยก็ได้
"ส.ศิวรักษ์"นำทีมถล่มรัฐบาล
ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ได้มีการอภิปรายโต๊ะกลม อนาคตประชาธิปไตย ในรัฐบาลธุรกิจการเมือง “จาก กตป.ถึงปปง.ยุทธการยึดทรัพย์ประชาชนโดยอำนาจรัฐ” จัดโดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)โดยมีผู้เข้าร่วมการอภิปรายประกอบด้วย นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม,นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน และ นายสมชาย หอมละออ อดีตเลขาธิการ Forum Asia
ระหว่างการอภิปราย ส.ศิวรักษ์ กล่าวว่า ตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงจะมีปัญหาเรื่องซุกหุ้นอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ แต่พวกเราก็เห็นว่า ควรให้โอกาสบริหารบ้านเมือง เพราะความมัวหมองที่เกิดขึ้นเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆปราศจากเจตนาฉ้อฉล และนโยบายไทยรักไทยก็มีความแปลกใหม่หลายประการ ควรสนับสนุน โดยเฉพาะในเรื่องของคนยากคนจน อีกทั้งมีคนใหม่ๆ เข้าไปร่วมในพรรคนี้ โดยที่คนหลายคนในพวกนี้เคยอยู่ร่วมกับประชาชนมาก่อน ทั้งที่กริ่งเกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยขึ้นมาอย่างนักฉวยโอกาส และการได้มาด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นไปในทางธนาธิปไตยยิ่งกว่าประชาธิปไตย แต่ก็คิดว่า คงรวยพอแล้ว น่าจะหันมารับใช้ประเทศชาติประชาชน แต่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กลับแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับประเทศชาติและราษฎร มีการตระบัดสัตย์ ฉ้อฉลในทุกกรณี เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน และพรรคพวก เพิ่มเงิน และอำนาจให้กับตนเอง คนที่เดือดร้อนสาหัส คือคนยากจนที่ถูกเบียดเบียนในทุกหนทาง
นอกจากนี้ ขบวนการโกงกินนี้ขยายไปถึงการเอาเงินแผ่นดินไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เพื่อตนเองและผลประโยชน์บริษัทตน อย่างเช่น ใช้เงินมหาศาลในการจัดงานเอเปก ประเทศก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย หรือ การสยบยอมกับจีน เพียงเพื่อค้าขายให้กับบรรษัทเขา ยิ่งกว่าเพื่อศักดิ์ศรีประเทศชาติ รวมทั้งกรณีพม่า รัฐบาลนี้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่าจนไร้จุดยืนในทางสิทธิมนุษยชน และในทางเสรีภาพชนกลุ่มน้อย อีกทั้งยังนำเงินงบประมาณไปให้กับรัฐบาลทหารพม่ายืมอย่างมหาศาล หรือ นำไปสร้างถนน ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ธุรกิจการค้าของตน ดังมีบริษัทโทรศัพท์มือถือไทยที่ลูกชายเขาเป็นประธานไปร่วมมือกับบริษัทโทรศัพท์มือถือของพม่า ที่ลูกชายนายกรัฐมนตรีพม่าเป็นประธาน
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวด้วยว่า นายกฯอ้างว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกลนั้นแท้จริงเดินตามก้นเศรษฐกิจและการเมืองสหรัฐฯ หรือเอาอย่างมหาเธร์ และ ลีกวนยู ซึ่งวิธีการแก้ปํญหาต่างๆ ก็จะใช้เงินและอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายยิ่ง เพราะราษฎรจะหมดศักดิ์ศรีในความเป็นคน หรือเสรีภาพทางสื่อมวลชนด้วย ทั้งหมดนี้จึงว่านโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผิด ไม่ใช่พรรคไทยรักไทยผิด เพราะพรรคนี้ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง เนื่องจากสมาชิก และรัฐมนตรีเป็นเพียงข้าทาส หรือบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ชี้ชะตากรรมของพรรค และบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจการค้า ซึ่งมีอำนาจเหนือการเมือง ใครที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ก็จะถูกหัวหน้ารัฐบาลตอบโต้ด้วยถ้อยคำอันรุนแรง อีกทั้งตามอาฆาตมาดร้ายด้วย แม้แต่คนอย่าง น.พ.ประเวศ วะสี นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ก็โดนกลั่นแกล้ง
ปัญญาชนสยาม ยังกล่าวด้วยว่า สังคมพยายามผลักดันจนได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมา แต่องคาพยพอย่างองค์อิสระต่างๆ กลับไม่ทำงาน ผู้ตรวจการรัฐสภาควรจะมีสถานะไม่แพ้เปาปุ้นจิ้น แต่ก็กลายเป็นสากกะเบือ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีสมาชิกที่เป็นเบื้อ หรือเป็นมารรวมอยู่ด้วยไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากการตัดสินถอดถอน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ออกจากตำแหน่งโดยปราศจากมโนธรรมสำนึก
นายสุลักษณ์กล่าวอีกว่า สิ่งที่ นายสุเมธ ตันติเวชกุล ออกมาพูดถึงเรื่องการทุจริตของรัฐบาลนี้ ก็เป็นเพียงผิวเท่านั้น เพราะรัฐบาลนี้โกงกินยิ่งกว่าที่นายสุเมธพูดเสียอีก “ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ต้องฟังองค์พระประมุข ที่ทรงสิทธิในการเตือนรัฐบาล ห้ามปรามรัฐบาล สนับสนุนรัฐบาล แต่นี่เขาไม่เคยฟัง หรือแสร้งทำทีว่าฟัง แต่ไม่ทำตาม แม้แต่การเสนอร่าง พ.ร.บ.ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วถูกตีกลับลงมานั้น ถ้าเป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยจรรยาบรรณ ย่อมลาออกไปแล้ว แต่นี่ทำทองไม่รู้ร้อน โทษกันไปมา”
ส.ศิวรักษ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวไม่เห็นว่า จะมีทางใดแก้ปัญหาได้นอกจากต้องช่วยกันทุ่มพ.ต.ท.ทักษิณ ลงจากอำนาจ ในเมื่อเขาใช้โครงสร้างทางกลไกแห่งรัฐ โดยมีธนาธิปไตยเป็นหลัก เราก็ต้องต่อสู้กับเขาด้วยกลไกทางสังคม ซึ่งมีธรรมาธิปไตยเป็นหลัก ใช้ความจริง ใช้สันติวิธี ใช้สื่อทางเลือก ปลุกระดมครูอาจารย์ ให้เห็นคุณค่าของสัจจะ และประชาธิปไตย ด้วยการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ กันในทุกสถาบันการศึกษา และขยายไปสู่ประชาคม โยงใยไปยังกรรมกร คนระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางโยงใยกับกลุ่มนักธุรกิจที่เข้าใจปัญหาประชาธิปไตย ผนวกกับพลังประชาชน แล้วร่วมกันโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ
ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงเรื่องที่นายกฯจะเปิดเวที รวมพลคนด่ารัฐบาล ว่าเป็นวิธีคิดของพวกฝ่ายซ้ายที่รับใช้รัฐบาล พวกนี้ก็คิดได้เท่านี้ และพวกตนคงไม่ไปร่วม เพราะถือเป็นศัตรูของรัฐบาล จะไปดูเขาเล่นละครทำไมกัน
ด้านนายสมชาย หอมละออ อดีตเลขาธิการ เอเชียฟอรั่ม กล่าวว่า รัฐบาลขุดนี้มีลักษณะสำคัญ ประการแรก คือ มีทั้งนายทุนและฝ่ายซ้ายรวมอยู่ด้วยกัน เห็นได้จากกรรมการสรรหาองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ฝ่ายซ้ายเข้าไปเป็นกรรมการด้วย สุดท้ายองกรค์อิสระต่างถูกควบคุมจนหมด ไม่ฟังฝ่ายค้านรัฐบาลชุดนี้จึงเป็นรัฐบาลนายทุนที่มีฝ่ายซ้ายคอยรับใช้
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ลักษณะอีกประการคือเป็นกลุ่มทุนใหม่ ที่จะไปลดบทบาทของกลุ่มอนุรักษ์นิยม และทุนเก่า ต้องเข้าไปทำลายฐานทางเศรษฐกิจของอนุรักษ์นิยม และทุนเก่า ทุนใหม่ตัวนี้เหมือนเสือตัวใหม่ที่มีกำลังยังหนุ่มแน่น ฮุบอาณาจักรทางเศรษฐกิจโดยอาศัยกลไกทางการเมือง จึงไม่แปลกใจ ที่ทำไมถึงมีศัตรูรอบด้าน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ต่างจากยุคเผด็จการทหาร ไม่แปลกใจว่า ทำไมหลายคนต้องออกมาคัดค้านวิธีการที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม ที่ทุนใหม่เข้าไปแบบตะกละตะกราม
นายสมชาย ยังกล่าวว่า รัฐบาลนี้เป็นเผด็จการรัฐสภาที่มีเงินก็เชื่อมั่นในอำนาจทางการเงิน เหมือนกับเผด็จการทหารที่มีปืน ก็ต้องเชื่อมั่นในปืน ฟังจากคำพูดของเขาสะท้อนว่า เงินซื้อได้ทุกอย่างรวมทั้งปัญหาในภาคใต้ แต่มนุษย์ไม่ได้ต้องการแค่เงิน แต่ต้องการเสรีภาพ เรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงเอยท้ายสุดอย่างไร เป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก ผลของการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. สะท้อนความจริงที่ว่าคนชนบทตั้งรัฐบาล คนในเมืองล้มรัฐบาล และการเลือกตั้งเดือนก.พ.หน้า จะเป็นคำตอบว่า สังคมไทยจะผ่านพ้นความรุนแรงไปได้หรือไม่ หากการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง รัฐบาลคุมเสียงข้างมากเด็ดขาด คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์อย่างเดือนพฤษภาคม หากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็นรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านสามารถแสดงบทบาทการตรวจสอบได้อย่างมีนัยสำคัญ จะทำให้ไม่เกิด พฤษภาทมิฬ รอบสอง
จี้รัฐบาลจัดการ 3 เรื่องด่วน
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะเปิดเวทีให้กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในวันที่ 15 ต.ค.นั้น ถือเป็นคำประกาศขอคืนดีกับคนที่เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งก็คงไม่มีใครไป เวลานี้รัฐบาลกำลังทำให้องค์กรปปง.เป็นทรราชขึ้นทุกวัน เพราะเอาไปจัดการกับคนที่ต่อต้านรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ทำให้กรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นทรราชทางการเงินตัวใหม่ คือให้นักการเมืองบางกลุ่มบางพวกเข้าไปดูทรัพย์คนอื่นเขา ซึ่งจริงๆ แล้วปปง.ควรเข้าไปจัดการใน 3 เรื่อง คือ 1.จัดการกับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่เวลานี้บุคคลที่เข้าไปมีส่วนทุจริตในโครงการยังร่วมรัฐบาลอยู่
2.อยากให้จัดการกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งขูดรีดคนระดับรากหญ้า เวลานี้มีการทจุริตก่อสร้างอาคารแล้วมีการจ่ายเช็คให้รัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่ขณะนี้กำลังจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นพรรคสำรองของไทยรักไทย 3.จัดการกับคนโอหัง ที่ประกาศจะดำเนินการกับคนรุกที่สปก.4-01 เนื่องจากพัวพันคดี BBC
“อยากจะบอกว่า สงครามครั้งนี้ประชาชนได้เปรียบแต่จะเกิดขึ้นอย่างช้า อยากจะขอเตือนรัฐบาลและองค์กรที่ทำตัวเป็นทรราช ทำอะไรไม่ถูกต้องระวังจะถูกประชาชนล้อม”นายสมเกียรติกล่าว
แฉเครือญาตินายกฯไม่เสียภาษี
ต่อมาในช่วงเย็นได้มีการเปิดเวทีสภาประชาชนที่ท้องสนามหลวง เป็นวันที่สอง โดยมีประชาชนมาร่วมรับฟังประมาณ 1,000 คน นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริษัทเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ได้ขึ้นกล่าวโจมตีรัฐบาลว่า ทรัพย์สินในประเทศนี้ไม่ใช่เป็นของรัฐบาล แต่เป็นของคนไทยทุกคน ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ารับตำแหน่งบอกว่ารวยแล้วไม่โกง แต่อยากถามว่า 3 ปีกว่า ที่เข้ามาบริหารประเทศ ทำไมครอบครัวของนายกฯ น้องชาย น้องสาว พ่อตา ถึงได้รวยขึ้นอย่างมาก ร่ำรวยมาจากไหน เสียภาษีหรือไม่ ตนยืนยันได้ว่า ก่อนการเป็นรัฐบาลครอบครัวของนายกฯมีทรัพย์สินไม่ถึง 1 แสนล้าน แต่ทุกวันนี้กลับรวยขึ้นเป็นหลายแสนล้าน สิ่งเหล่านี้ยังไม่เคยมีใครบอกประชาชนเลย ถ้ารวยมาจากการทำมาค้าขายไม่มีใครว่า แต่ถ้ารวยมาจากการไม่เสียภาษี ก็คือการโกงชาติ โกงแผ่นดิน ตนไม่ใช่นักการเมือง และไม่คิดจะมาเล่นการเมือง แต่ทนไม่ได้ที่เห็นว่ามีการเอาภาษีของประเทศชาติ ไปแจกจ่ายให้ใครก็ได้โดยไม่ผ่านระบบและขั้นตอนทางกฎหมาย ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาร่วมกันไล่เผด็จการครองเมืองออกไป
นายเอกยุทธ ยังกล่าวถึงเรื่องที่นายกฯจะเปิดเวทีให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาอภิปรายว่า หากมีโอกาส ก็จะไปพูดแบบตรงๆ ไปเลย แต่คิดว่าเขาคงไม่ให้ขึ้นไป และเรื่องที่รัฐบาลจะจัดขึ้นนี้ก็คงมีการขนคนมาเชียร์รัฐบาล ทางที่ดีแล้วนายกฯ ควรจะมาร่วมกับพวกเรา มารับฟังพวกเรา เพราะมีการจัดทุกวัน มาฟังได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร และคิดว่าการที่นายกฯจะจัดเพียงวันเดียวนั้นคงไม่พอ เพราะใช้เวลาเป็นเดือนก็ยังพูดถึงเรื่องความบกพร่องของรัฐบาลไม่หมด
เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2 พันล้าน
นายเอกยุทธ กล่าวว่า อีก 2 สัปดาห์ จะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ที่เป็นชื่อจริง และนามสกุลของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้นโดยจะไม่ใช้ชื่อย่อ แต่ต้องเป็นภายหลังจากสัปดาห์หน้าที่ตนจะไปฟ้องคดีทางแพ่ง และ สัปดาห์ถัดไปก็จะไปฟ้องคดีที่ศาลโลก โดยขณะนี้ได้ให้ทนายความรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เขา ซึ่งมีทั้งนายกฯ เลขาธิการปปง. และ รมว.ยุติธรรม เพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 2,000 ล้านบาทเพราะถือว่า ทำให้เสียหาย โดยธุรกิจในต่างประเทศของเขาถูกนักลงทุนถอนการลงทุนไปจำนวนมาก และยังมีความเสียหายเกิดขึ้นกับโครงการของเขาอีกหลายโครงการ ซึ่งก็จะฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นรายโครงการฯต่อไป โดยถ้ามีความผิดคนเหล่านี้ก็ต้องติดคุก
ด้านนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด กล่าวว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ เพราะคิดว่าจะเข้ามาแก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แต่วันนี้รู้สึกเสียใจที่เรื่องดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยมาจากอะไร ทุกวันนี้ทรัพย์สินของประเทศชาติกำลังจะกลายเป็นของเครือญาติเขาหมด เอาเงินไปหว่านรากหญ้า สุดท้ายก็เอาไปไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ที่คนขายเป็นกลุ่มพวกพ้อง เครือญาติของนายกฯ
ปชป.วาง 6 มาตรการปราบโกง
เมื่อเวลา 13.30 น.วันเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดตัวผู้สมัครส.ส.เขตทั่วประเทศเป็นครั้งแรก จำนวน 249 คน จากนั้น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปราศรัยปิดการสัมมนา ส.ส.ว่า สถานการณ์ ของการทุจริตคอร์รัปชั่นขณะนี้ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และกำลังจะนำพาประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติการณ์อันเลวร้ายมากยิ่งขึ้น จากที่แค่เป็นเรื่องของเบี้ยบ้ายรายทาง ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องฮั้วประมูลงานที่สลับซับซ้อน และมีตัวเลขจำนวนเงินมหาศาล และสิ่งที่นายกฯ เคยประกาศว่าแม้ไม่มีใบเสร็จก็จะจัดการกับรัฐมนตรีทุกคนนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ตลอดเกือบ 4 ปี ทุกอย่างตรงกันข้าม มีแต่เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น
นายบัญญัติ กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงใยและน่าตกใจที่สุดก็คือ ประเทศกำลังอยู่ในยุคของธุรกิจการเมือง เพราะกลุ่มทุนต่างๆ ที่เข้ามากำหนดนโยบาย และใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือผลประโยชน์อันเป็นธุรกิจของครอบครัว หรือ ผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย และสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หลายฝ่ายห่วงใย เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นหนักข้อยิ่งกว่าเดิม ทำให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินต้องพลอยหนักใจไปด้วย
นายบัญญัติ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะยืนหยัด มุ่งมั่นที่จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ด้วยนโยบาย และมาตรการ"รื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน" คือ 1.ขึ้นบัญชีดำโครงการที่ไม่โปร่งใส เพื่อติดตามตรวจสอบ ยึดทรัพย์ เอาคนผิดเข้าคุก โดยใช้กลไกแห่งรัฐทุกกลไก เพื่อจัดการกับโครงการอันอื้อฉาวที่ได้ขึ้นบัญชีดำเอาไว้แล้วกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท โดยจะรื้อเพื่อตรวจสอบใหม่ติดตามยึดทรัพย์สินจากพวกร่ำรวยโดยมิชอบมาพัฒนาชาติและนำเอาคนโกงมาลงโทษ
2.สนับสนุน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภาคประชาชน ซึ่งพรรคสนับสนุนองค์กรอิสระภาคประชาชนเพื่อจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้ ได้มีความพร้อมทางด้านเงินอุดหนุนช่วยเหลือและมีความคล่องตัวในการทำงานคู่ขนานกันไปกับหน่วยงานของรัฐ 3.เร่งปฏิรูปและฟื้นฟูระบบสื่อเสรี เพราะสาเหตุการทุจริตเกิดขึ้นเกิดจากการครอบงำสื่อ ทั้งโดยทางตรงและโดยอ้อม
4.แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยผลักดันให้มีกฎหมายว่าด้วยการทำสัญญา ของหน่วยงานภาครัฐขึ้นมาใหม่ ให้มีบทลงโทษที่รุนแรงกับผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุน ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และเอกชน เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว เข็ดหลาบ ไม่กล้าสมคบกันเบียดบังผลประโยชน์ของชาติเป็นของตัวเอง อีกทั้งจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีสมคบกันเสียค่าโง่อย่างที่เป็นอยู่ และจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองหุ้นของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ คู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อป้องกันการตีความและเพื่อทำให้การใช้กฎหมายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
5.แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการครอบงำองค์กรอิสระ พรรคจึงเสนอให้ยกเลิกตัวแทนพรรคการเมืองในกระบวนสรรหา เพื่อให้การสรรหาได้ดำเนินการไปเพื่อประโยชน์ของการตรวจสอบอย่างแท้จริง ไม่มีความโน้มเอียงไปในทางการเมือง และ 6.จะเพิ่มอำนาจหน้าที่และเพิ่มความพร้อมให้องค์กรอิสระเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ให้มีความพร้อมทุกด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ให้ทันต่อการเพิ่มขึ้นของการทุจริตคอร์รัปชั่น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำอย่างจริงจัง และเร่งด่วน ไม่ใช่การคิดจะตั้งหน่วยงานในสังกัดรัฐบาลขึ้นมาใหม่ โดยอ้างว่า เพื่อแบ่งเบาภาระของป.ป.ช.อย่างที่รัฐบาลคิดจะทำ
เมื่อเวลา 10.30 น.วานนี้ (26ก.ย.)ที่พรรคไทยรักไทย ถนนราชวิถี นายภิมุข สิมะโรจน์ แถลงข่าว การจัดงานเสวนาในหัวข้อ“รวมพลคนด่ารัฐบาล”ที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลเข้าร่วมการเสวนาครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยจะมีทั้งรัฐมนตรี และ ส.ส.ของพรรคไปรับฟังปัญหาด้วย เพื่อนำกลับมาปรับปรุงการทำงานของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีอาจจะอยู่ร่วมงานเป็นบางช่วง แต่จะมีตัวแทนของภาครัฐบาลนั่งฟังอยู่ตลอด ฝ่ายค้านอยากจะมาร่วมงานด้วยก็ได้
"ส.ศิวรักษ์"นำทีมถล่มรัฐบาล
ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ได้มีการอภิปรายโต๊ะกลม อนาคตประชาธิปไตย ในรัฐบาลธุรกิจการเมือง “จาก กตป.ถึงปปง.ยุทธการยึดทรัพย์ประชาชนโดยอำนาจรัฐ” จัดโดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)โดยมีผู้เข้าร่วมการอภิปรายประกอบด้วย นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม,นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน และ นายสมชาย หอมละออ อดีตเลขาธิการ Forum Asia
ระหว่างการอภิปราย ส.ศิวรักษ์ กล่าวว่า ตอนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงจะมีปัญหาเรื่องซุกหุ้นอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ แต่พวกเราก็เห็นว่า ควรให้โอกาสบริหารบ้านเมือง เพราะความมัวหมองที่เกิดขึ้นเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆปราศจากเจตนาฉ้อฉล และนโยบายไทยรักไทยก็มีความแปลกใหม่หลายประการ ควรสนับสนุน โดยเฉพาะในเรื่องของคนยากคนจน อีกทั้งมีคนใหม่ๆ เข้าไปร่วมในพรรคนี้ โดยที่คนหลายคนในพวกนี้เคยอยู่ร่วมกับประชาชนมาก่อน ทั้งที่กริ่งเกรงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยขึ้นมาอย่างนักฉวยโอกาส และการได้มาด้วยเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นไปในทางธนาธิปไตยยิ่งกว่าประชาธิปไตย แต่ก็คิดว่า คงรวยพอแล้ว น่าจะหันมารับใช้ประเทศชาติประชาชน แต่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กลับแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับประเทศชาติและราษฎร มีการตระบัดสัตย์ ฉ้อฉลในทุกกรณี เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน และพรรคพวก เพิ่มเงิน และอำนาจให้กับตนเอง คนที่เดือดร้อนสาหัส คือคนยากจนที่ถูกเบียดเบียนในทุกหนทาง
นอกจากนี้ ขบวนการโกงกินนี้ขยายไปถึงการเอาเงินแผ่นดินไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เพื่อตนเองและผลประโยชน์บริษัทตน อย่างเช่น ใช้เงินมหาศาลในการจัดงานเอเปก ประเทศก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย หรือ การสยบยอมกับจีน เพียงเพื่อค้าขายให้กับบรรษัทเขา ยิ่งกว่าเพื่อศักดิ์ศรีประเทศชาติ รวมทั้งกรณีพม่า รัฐบาลนี้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่าจนไร้จุดยืนในทางสิทธิมนุษยชน และในทางเสรีภาพชนกลุ่มน้อย อีกทั้งยังนำเงินงบประมาณไปให้กับรัฐบาลทหารพม่ายืมอย่างมหาศาล หรือ นำไปสร้างถนน ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ธุรกิจการค้าของตน ดังมีบริษัทโทรศัพท์มือถือไทยที่ลูกชายเขาเป็นประธานไปร่วมมือกับบริษัทโทรศัพท์มือถือของพม่า ที่ลูกชายนายกรัฐมนตรีพม่าเป็นประธาน
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวด้วยว่า นายกฯอ้างว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกลนั้นแท้จริงเดินตามก้นเศรษฐกิจและการเมืองสหรัฐฯ หรือเอาอย่างมหาเธร์ และ ลีกวนยู ซึ่งวิธีการแก้ปํญหาต่างๆ ก็จะใช้เงินและอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายยิ่ง เพราะราษฎรจะหมดศักดิ์ศรีในความเป็นคน หรือเสรีภาพทางสื่อมวลชนด้วย ทั้งหมดนี้จึงว่านโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผิด ไม่ใช่พรรคไทยรักไทยผิด เพราะพรรคนี้ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง เนื่องจากสมาชิก และรัฐมนตรีเป็นเพียงข้าทาส หรือบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ชี้ชะตากรรมของพรรค และบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจการค้า ซึ่งมีอำนาจเหนือการเมือง ใครที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ก็จะถูกหัวหน้ารัฐบาลตอบโต้ด้วยถ้อยคำอันรุนแรง อีกทั้งตามอาฆาตมาดร้ายด้วย แม้แต่คนอย่าง น.พ.ประเวศ วะสี นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ก็โดนกลั่นแกล้ง
ปัญญาชนสยาม ยังกล่าวด้วยว่า สังคมพยายามผลักดันจนได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมา แต่องคาพยพอย่างองค์อิสระต่างๆ กลับไม่ทำงาน ผู้ตรวจการรัฐสภาควรจะมีสถานะไม่แพ้เปาปุ้นจิ้น แต่ก็กลายเป็นสากกะเบือ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีสมาชิกที่เป็นเบื้อ หรือเป็นมารรวมอยู่ด้วยไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากการตัดสินถอดถอน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ออกจากตำแหน่งโดยปราศจากมโนธรรมสำนึก
นายสุลักษณ์กล่าวอีกว่า สิ่งที่ นายสุเมธ ตันติเวชกุล ออกมาพูดถึงเรื่องการทุจริตของรัฐบาลนี้ ก็เป็นเพียงผิวเท่านั้น เพราะรัฐบาลนี้โกงกินยิ่งกว่าที่นายสุเมธพูดเสียอีก “ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ต้องฟังองค์พระประมุข ที่ทรงสิทธิในการเตือนรัฐบาล ห้ามปรามรัฐบาล สนับสนุนรัฐบาล แต่นี่เขาไม่เคยฟัง หรือแสร้งทำทีว่าฟัง แต่ไม่ทำตาม แม้แต่การเสนอร่าง พ.ร.บ.ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วถูกตีกลับลงมานั้น ถ้าเป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยจรรยาบรรณ ย่อมลาออกไปแล้ว แต่นี่ทำทองไม่รู้ร้อน โทษกันไปมา”
ส.ศิวรักษ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวไม่เห็นว่า จะมีทางใดแก้ปัญหาได้นอกจากต้องช่วยกันทุ่มพ.ต.ท.ทักษิณ ลงจากอำนาจ ในเมื่อเขาใช้โครงสร้างทางกลไกแห่งรัฐ โดยมีธนาธิปไตยเป็นหลัก เราก็ต้องต่อสู้กับเขาด้วยกลไกทางสังคม ซึ่งมีธรรมาธิปไตยเป็นหลัก ใช้ความจริง ใช้สันติวิธี ใช้สื่อทางเลือก ปลุกระดมครูอาจารย์ ให้เห็นคุณค่าของสัจจะ และประชาธิปไตย ด้วยการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ กันในทุกสถาบันการศึกษา และขยายไปสู่ประชาคม โยงใยไปยังกรรมกร คนระดับรากหญ้า ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางโยงใยกับกลุ่มนักธุรกิจที่เข้าใจปัญหาประชาธิปไตย ผนวกกับพลังประชาชน แล้วร่วมกันโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ
ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงเรื่องที่นายกฯจะเปิดเวที รวมพลคนด่ารัฐบาล ว่าเป็นวิธีคิดของพวกฝ่ายซ้ายที่รับใช้รัฐบาล พวกนี้ก็คิดได้เท่านี้ และพวกตนคงไม่ไปร่วม เพราะถือเป็นศัตรูของรัฐบาล จะไปดูเขาเล่นละครทำไมกัน
ด้านนายสมชาย หอมละออ อดีตเลขาธิการ เอเชียฟอรั่ม กล่าวว่า รัฐบาลขุดนี้มีลักษณะสำคัญ ประการแรก คือ มีทั้งนายทุนและฝ่ายซ้ายรวมอยู่ด้วยกัน เห็นได้จากกรรมการสรรหาองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ฝ่ายซ้ายเข้าไปเป็นกรรมการด้วย สุดท้ายองกรค์อิสระต่างถูกควบคุมจนหมด ไม่ฟังฝ่ายค้านรัฐบาลชุดนี้จึงเป็นรัฐบาลนายทุนที่มีฝ่ายซ้ายคอยรับใช้
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ลักษณะอีกประการคือเป็นกลุ่มทุนใหม่ ที่จะไปลดบทบาทของกลุ่มอนุรักษ์นิยม และทุนเก่า ต้องเข้าไปทำลายฐานทางเศรษฐกิจของอนุรักษ์นิยม และทุนเก่า ทุนใหม่ตัวนี้เหมือนเสือตัวใหม่ที่มีกำลังยังหนุ่มแน่น ฮุบอาณาจักรทางเศรษฐกิจโดยอาศัยกลไกทางการเมือง จึงไม่แปลกใจ ที่ทำไมถึงมีศัตรูรอบด้าน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ต่างจากยุคเผด็จการทหาร ไม่แปลกใจว่า ทำไมหลายคนต้องออกมาคัดค้านวิธีการที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม ที่ทุนใหม่เข้าไปแบบตะกละตะกราม
นายสมชาย ยังกล่าวว่า รัฐบาลนี้เป็นเผด็จการรัฐสภาที่มีเงินก็เชื่อมั่นในอำนาจทางการเงิน เหมือนกับเผด็จการทหารที่มีปืน ก็ต้องเชื่อมั่นในปืน ฟังจากคำพูดของเขาสะท้อนว่า เงินซื้อได้ทุกอย่างรวมทั้งปัญหาในภาคใต้ แต่มนุษย์ไม่ได้ต้องการแค่เงิน แต่ต้องการเสรีภาพ เรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงเอยท้ายสุดอย่างไร เป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก ผลของการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. สะท้อนความจริงที่ว่าคนชนบทตั้งรัฐบาล คนในเมืองล้มรัฐบาล และการเลือกตั้งเดือนก.พ.หน้า จะเป็นคำตอบว่า สังคมไทยจะผ่านพ้นความรุนแรงไปได้หรือไม่ หากการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง รัฐบาลคุมเสียงข้างมากเด็ดขาด คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์อย่างเดือนพฤษภาคม หากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็นรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านสามารถแสดงบทบาทการตรวจสอบได้อย่างมีนัยสำคัญ จะทำให้ไม่เกิด พฤษภาทมิฬ รอบสอง
จี้รัฐบาลจัดการ 3 เรื่องด่วน
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะเปิดเวทีให้กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในวันที่ 15 ต.ค.นั้น ถือเป็นคำประกาศขอคืนดีกับคนที่เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งก็คงไม่มีใครไป เวลานี้รัฐบาลกำลังทำให้องค์กรปปง.เป็นทรราชขึ้นทุกวัน เพราะเอาไปจัดการกับคนที่ต่อต้านรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ทำให้กรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นทรราชทางการเงินตัวใหม่ คือให้นักการเมืองบางกลุ่มบางพวกเข้าไปดูทรัพย์คนอื่นเขา ซึ่งจริงๆ แล้วปปง.ควรเข้าไปจัดการใน 3 เรื่อง คือ 1.จัดการกับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่เวลานี้บุคคลที่เข้าไปมีส่วนทุจริตในโครงการยังร่วมรัฐบาลอยู่
2.อยากให้จัดการกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งขูดรีดคนระดับรากหญ้า เวลานี้มีการทจุริตก่อสร้างอาคารแล้วมีการจ่ายเช็คให้รัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่ขณะนี้กำลังจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นพรรคสำรองของไทยรักไทย 3.จัดการกับคนโอหัง ที่ประกาศจะดำเนินการกับคนรุกที่สปก.4-01 เนื่องจากพัวพันคดี BBC
“อยากจะบอกว่า สงครามครั้งนี้ประชาชนได้เปรียบแต่จะเกิดขึ้นอย่างช้า อยากจะขอเตือนรัฐบาลและองค์กรที่ทำตัวเป็นทรราช ทำอะไรไม่ถูกต้องระวังจะถูกประชาชนล้อม”นายสมเกียรติกล่าว
แฉเครือญาตินายกฯไม่เสียภาษี
ต่อมาในช่วงเย็นได้มีการเปิดเวทีสภาประชาชนที่ท้องสนามหลวง เป็นวันที่สอง โดยมีประชาชนมาร่วมรับฟังประมาณ 1,000 คน นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริษัทเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ได้ขึ้นกล่าวโจมตีรัฐบาลว่า ทรัพย์สินในประเทศนี้ไม่ใช่เป็นของรัฐบาล แต่เป็นของคนไทยทุกคน ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ารับตำแหน่งบอกว่ารวยแล้วไม่โกง แต่อยากถามว่า 3 ปีกว่า ที่เข้ามาบริหารประเทศ ทำไมครอบครัวของนายกฯ น้องชาย น้องสาว พ่อตา ถึงได้รวยขึ้นอย่างมาก ร่ำรวยมาจากไหน เสียภาษีหรือไม่ ตนยืนยันได้ว่า ก่อนการเป็นรัฐบาลครอบครัวของนายกฯมีทรัพย์สินไม่ถึง 1 แสนล้าน แต่ทุกวันนี้กลับรวยขึ้นเป็นหลายแสนล้าน สิ่งเหล่านี้ยังไม่เคยมีใครบอกประชาชนเลย ถ้ารวยมาจากการทำมาค้าขายไม่มีใครว่า แต่ถ้ารวยมาจากการไม่เสียภาษี ก็คือการโกงชาติ โกงแผ่นดิน ตนไม่ใช่นักการเมือง และไม่คิดจะมาเล่นการเมือง แต่ทนไม่ได้ที่เห็นว่ามีการเอาภาษีของประเทศชาติ ไปแจกจ่ายให้ใครก็ได้โดยไม่ผ่านระบบและขั้นตอนทางกฎหมาย ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาร่วมกันไล่เผด็จการครองเมืองออกไป
นายเอกยุทธ ยังกล่าวถึงเรื่องที่นายกฯจะเปิดเวทีให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาอภิปรายว่า หากมีโอกาส ก็จะไปพูดแบบตรงๆ ไปเลย แต่คิดว่าเขาคงไม่ให้ขึ้นไป และเรื่องที่รัฐบาลจะจัดขึ้นนี้ก็คงมีการขนคนมาเชียร์รัฐบาล ทางที่ดีแล้วนายกฯ ควรจะมาร่วมกับพวกเรา มารับฟังพวกเรา เพราะมีการจัดทุกวัน มาฟังได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร และคิดว่าการที่นายกฯจะจัดเพียงวันเดียวนั้นคงไม่พอ เพราะใช้เวลาเป็นเดือนก็ยังพูดถึงเรื่องความบกพร่องของรัฐบาลไม่หมด
เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2 พันล้าน
นายเอกยุทธ กล่าวว่า อีก 2 สัปดาห์ จะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ที่เป็นชื่อจริง และนามสกุลของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้นโดยจะไม่ใช้ชื่อย่อ แต่ต้องเป็นภายหลังจากสัปดาห์หน้าที่ตนจะไปฟ้องคดีทางแพ่ง และ สัปดาห์ถัดไปก็จะไปฟ้องคดีที่ศาลโลก โดยขณะนี้ได้ให้ทนายความรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เขา ซึ่งมีทั้งนายกฯ เลขาธิการปปง. และ รมว.ยุติธรรม เพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 2,000 ล้านบาทเพราะถือว่า ทำให้เสียหาย โดยธุรกิจในต่างประเทศของเขาถูกนักลงทุนถอนการลงทุนไปจำนวนมาก และยังมีความเสียหายเกิดขึ้นกับโครงการของเขาอีกหลายโครงการ ซึ่งก็จะฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นรายโครงการฯต่อไป โดยถ้ามีความผิดคนเหล่านี้ก็ต้องติดคุก
ด้านนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด กล่าวว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ เพราะคิดว่าจะเข้ามาแก้กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แต่วันนี้รู้สึกเสียใจที่เรื่องดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยมาจากอะไร ทุกวันนี้ทรัพย์สินของประเทศชาติกำลังจะกลายเป็นของเครือญาติเขาหมด เอาเงินไปหว่านรากหญ้า สุดท้ายก็เอาไปไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ที่คนขายเป็นกลุ่มพวกพ้อง เครือญาติของนายกฯ
ปชป.วาง 6 มาตรการปราบโกง
เมื่อเวลา 13.30 น.วันเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดตัวผู้สมัครส.ส.เขตทั่วประเทศเป็นครั้งแรก จำนวน 249 คน จากนั้น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปราศรัยปิดการสัมมนา ส.ส.ว่า สถานการณ์ ของการทุจริตคอร์รัปชั่นขณะนี้ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และกำลังจะนำพาประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติการณ์อันเลวร้ายมากยิ่งขึ้น จากที่แค่เป็นเรื่องของเบี้ยบ้ายรายทาง ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องฮั้วประมูลงานที่สลับซับซ้อน และมีตัวเลขจำนวนเงินมหาศาล และสิ่งที่นายกฯ เคยประกาศว่าแม้ไม่มีใบเสร็จก็จะจัดการกับรัฐมนตรีทุกคนนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ตลอดเกือบ 4 ปี ทุกอย่างตรงกันข้าม มีแต่เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น
นายบัญญัติ กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงใยและน่าตกใจที่สุดก็คือ ประเทศกำลังอยู่ในยุคของธุรกิจการเมือง เพราะกลุ่มทุนต่างๆ ที่เข้ามากำหนดนโยบาย และใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือผลประโยชน์อันเป็นธุรกิจของครอบครัว หรือ ผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย และสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หลายฝ่ายห่วงใย เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นหนักข้อยิ่งกว่าเดิม ทำให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินต้องพลอยหนักใจไปด้วย
นายบัญญัติ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะยืนหยัด มุ่งมั่นที่จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ด้วยนโยบาย และมาตรการ"รื้อ-แก้ไข-ลงโทษ-ทวงคืน" คือ 1.ขึ้นบัญชีดำโครงการที่ไม่โปร่งใส เพื่อติดตามตรวจสอบ ยึดทรัพย์ เอาคนผิดเข้าคุก โดยใช้กลไกแห่งรัฐทุกกลไก เพื่อจัดการกับโครงการอันอื้อฉาวที่ได้ขึ้นบัญชีดำเอาไว้แล้วกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท โดยจะรื้อเพื่อตรวจสอบใหม่ติดตามยึดทรัพย์สินจากพวกร่ำรวยโดยมิชอบมาพัฒนาชาติและนำเอาคนโกงมาลงโทษ
2.สนับสนุน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภาคประชาชน ซึ่งพรรคสนับสนุนองค์กรอิสระภาคประชาชนเพื่อจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้ ได้มีความพร้อมทางด้านเงินอุดหนุนช่วยเหลือและมีความคล่องตัวในการทำงานคู่ขนานกันไปกับหน่วยงานของรัฐ 3.เร่งปฏิรูปและฟื้นฟูระบบสื่อเสรี เพราะสาเหตุการทุจริตเกิดขึ้นเกิดจากการครอบงำสื่อ ทั้งโดยทางตรงและโดยอ้อม
4.แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยผลักดันให้มีกฎหมายว่าด้วยการทำสัญญา ของหน่วยงานภาครัฐขึ้นมาใหม่ ให้มีบทลงโทษที่รุนแรงกับผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุน ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และเอกชน เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว เข็ดหลาบ ไม่กล้าสมคบกันเบียดบังผลประโยชน์ของชาติเป็นของตัวเอง อีกทั้งจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีสมคบกันเสียค่าโง่อย่างที่เป็นอยู่ และจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองหุ้นของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ คู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อป้องกันการตีความและเพื่อทำให้การใช้กฎหมายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
5.แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการครอบงำองค์กรอิสระ พรรคจึงเสนอให้ยกเลิกตัวแทนพรรคการเมืองในกระบวนสรรหา เพื่อให้การสรรหาได้ดำเนินการไปเพื่อประโยชน์ของการตรวจสอบอย่างแท้จริง ไม่มีความโน้มเอียงไปในทางการเมือง และ 6.จะเพิ่มอำนาจหน้าที่และเพิ่มความพร้อมให้องค์กรอิสระเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ให้มีความพร้อมทุกด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ให้ทันต่อการเพิ่มขึ้นของการทุจริตคอร์รัปชั่น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องกระทำอย่างจริงจัง และเร่งด่วน ไม่ใช่การคิดจะตั้งหน่วยงานในสังกัดรัฐบาลขึ้นมาใหม่ โดยอ้างว่า เพื่อแบ่งเบาภาระของป.ป.ช.อย่างที่รัฐบาลคิดจะทำ