ในสถานการณ์
เสนาคาม
ฝากไว้ในใจว่าที่ผู้ว่า กทม.คนใหม่!
เช้าวันฝนตก เป็นวันที่โหดร้ายสุด สำหรับชีวิตคนกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ที่ผูกปิ่นโตการเดินทางไว้กับเรือโดยสารคลองแสนแสบ เส้นทางจากบางกะปิ-สะพานผ่านฟ้า เพราะลำพังวันฟ้าใสๆ ที่ต้องเผชิญกับน้ำโสโครก กลิ่นเน่าเหม็น ในลำคลอง ที่ยังไม่มีการคืนชีวิตให้สายน้ำ ก็ลำบากลำบนเกินพออยู่แล้ว
แต่นี่ยังมีน้ำจากฟ้าโปรยปรายลงมา เติมความยุ่งยากให้กับชีวิตการเดินทางอีก
เช้าวันฝนพรำ จึงเป็นอะไรที่ยุ่งยากสาหัสสากรรจ์ สุดจะบรรยายจริงๆ ของคนที่ต้องพึ่งพาเรือคลองแสนแสบ... ครั้นจะหลบเลี่ยง หันไปเดินทางด้วยวิธีอื่น ก็ดูจะตีบตันไร้หนทาง เพราะมันเป็นการเดินทางวิธีเดียว ที่ร่นเวลา และถึงเป้าหมายได้ทันตามกำหนด โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน
14 ปี น้ำมันเพิ่ม ต้นทุนเพิ่ม เปลี่ยนเรือ เปลี่ยนท่า แต่ไม่เพิ่มราคาค่าโดยสาร...สติ๊กเกอร์พื้นขาว ตัวหนังสือสีน้ำเงินแซมแดง ที่ติดหราอยู่ทั่วลำเรือ ดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่เจ้าของเรือ สื่อข่าวสาร ส่งผ่านความอาทร ผูกพันถึงผู้โดยสาร ที่ต่างอิงแอบพึ่งพิงกันมานานปี เพราะมันเป็นการขนส่งทางเลือก...ที่เลือกไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม บางคนเมื่อพูดถึงเรือโดยสารคลองแสนแสบ กลับบอกว่ามันไม่น่าจะมีด้วยซ้ำ เพราะสภาพโดยรวม ทั้งเรือ ทั้งคลอง มันไม่เหมาะโดยประการทั้งปวง ที่จะนำมาใช้เป็นเส้นทางสัญจร
แต่หากถามว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะหักด้ามพร้าให้ยกเลิกกันแบบดื้อๆ โดยไม่มีอะไรติดปลายนวม หรือมาทดแทนนั้น คงยากที่จะทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เพราะห่วงธุรกิจเอกชนที่ลงทุนรอนไป หรือเกรงลูกจ้างนับร้อยชีวิตของบริษัทครอบครัวขนส่งจะตกงาน แต่มันเป็นปัญหาของคนโดยสารร่วม 8 หมื่นชีวิต ที่ใช้สัญจรในแต่ละวันต่างหาก
ชั่วโมงนี้ เรือคลองแสนแสบ จึงต้องเดินหน้า และเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนเมืองหลวงบางกลุ่มต่อไป
ส่วนจะแก้ไขปรับปรุงกันอย่างไร ให้มันดูดีขึ้นนั้น น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ ปัญหา ที่ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่า กทม.ทั้งหลาย ควรจะนำไปขบคิด และลองนำเสนอเป็นนโยบาย ขายฝันกับคนกรุงเทพฯ กันดู เพราะไม่ใช่ลำพังคนโดยสาร 8 หมื่นชีวิตเท่านั้น ที่ต้องเกี่ยวพันพึ่งพาเรือคลองแสนแสบ
แต่มันเป็นปัญหาที่โยงใยไปยังทุกส่วน จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาของมหานครด้วยซ้ำ
หลากหลายปัญหาทั้งมวลที่ว่า เริ่มจากเรื่องสวัสดิภาพผู้โดยสารก่อนเป็นลำดับแรก เพราะสภาพเรือที่นำมาวิ่งกันโทงๆ นับ 10 ปีนั้น นอกจากจะไม่เหมาะกับความเป็นเรือโดยสาร เพราะไม่มีความปลอดภัยแล้ว เสียงเครื่องยนต์ยังดังแผดเสียงสูงเกินกว่าระดับ 100 เดิซิเบล อีกด้วย ไม่รู้เยื่อหูบางๆ ของคนโดยสารที่ยัดเยียดกันอยู่ในห้องเครื่อง ทนกันได้อย่างไร
ต่อมาเป็นปัญหาของคนที่อาศัยอยู่ตลอดสองฝั่งคลอง ที่ต้องทนทุกข์กับมลพิษสารพัด ทั้งเสียง ควัน และน้ำที่สาดกระเซ็น เมื่อเรือวิ่งสวนกันเป็นคลื่นแรง งานนี้ไม่นับเขื่อนคอนกรีตตลอดชายคลอง ที่ถูกคลื่นถาโถมพังลงในหลายๆ จุด ซึ่ง กทม.ต้องสูญเสียงบประมาณดูแลในแต่ละปีเป็นเงินไม่น้อย
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เชียร์ให้ยกเลิก ตราบใดที่ยังไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าให้กับคนที่ใช้บริการเรือคลองแสนแสบ แต่ต้องการให้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น อย่างน้อยที่สุด ก็อย่าปล่อยให้คำว่า ็ธุรกิจผูกขาดิ มันทำให้ผู้โดยสารต้องกลายเป็นเบี้ยล่างไปเสียทั้งหมด
โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้า-เย็น ควรจะเพิ่มจำนวนเที่ยวเรือ เพื่อไม่ให้เกิดการแออัดยัดเยียด จนสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายมากเกินไป ในขณะที่ผู้โดยสารเอง ก็จะไม่ต้องหงุดหงิดรำคาญใจ กับการรอแล้วรอเล่า อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ.
เสนาคาม
ฝากไว้ในใจว่าที่ผู้ว่า กทม.คนใหม่!
เช้าวันฝนตก เป็นวันที่โหดร้ายสุด สำหรับชีวิตคนกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ที่ผูกปิ่นโตการเดินทางไว้กับเรือโดยสารคลองแสนแสบ เส้นทางจากบางกะปิ-สะพานผ่านฟ้า เพราะลำพังวันฟ้าใสๆ ที่ต้องเผชิญกับน้ำโสโครก กลิ่นเน่าเหม็น ในลำคลอง ที่ยังไม่มีการคืนชีวิตให้สายน้ำ ก็ลำบากลำบนเกินพออยู่แล้ว
แต่นี่ยังมีน้ำจากฟ้าโปรยปรายลงมา เติมความยุ่งยากให้กับชีวิตการเดินทางอีก
เช้าวันฝนพรำ จึงเป็นอะไรที่ยุ่งยากสาหัสสากรรจ์ สุดจะบรรยายจริงๆ ของคนที่ต้องพึ่งพาเรือคลองแสนแสบ... ครั้นจะหลบเลี่ยง หันไปเดินทางด้วยวิธีอื่น ก็ดูจะตีบตันไร้หนทาง เพราะมันเป็นการเดินทางวิธีเดียว ที่ร่นเวลา และถึงเป้าหมายได้ทันตามกำหนด โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน
14 ปี น้ำมันเพิ่ม ต้นทุนเพิ่ม เปลี่ยนเรือ เปลี่ยนท่า แต่ไม่เพิ่มราคาค่าโดยสาร...สติ๊กเกอร์พื้นขาว ตัวหนังสือสีน้ำเงินแซมแดง ที่ติดหราอยู่ทั่วลำเรือ ดูเหมือนจะเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่เจ้าของเรือ สื่อข่าวสาร ส่งผ่านความอาทร ผูกพันถึงผู้โดยสาร ที่ต่างอิงแอบพึ่งพิงกันมานานปี เพราะมันเป็นการขนส่งทางเลือก...ที่เลือกไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม บางคนเมื่อพูดถึงเรือโดยสารคลองแสนแสบ กลับบอกว่ามันไม่น่าจะมีด้วยซ้ำ เพราะสภาพโดยรวม ทั้งเรือ ทั้งคลอง มันไม่เหมาะโดยประการทั้งปวง ที่จะนำมาใช้เป็นเส้นทางสัญจร
แต่หากถามว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะหักด้ามพร้าให้ยกเลิกกันแบบดื้อๆ โดยไม่มีอะไรติดปลายนวม หรือมาทดแทนนั้น คงยากที่จะทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เพราะห่วงธุรกิจเอกชนที่ลงทุนรอนไป หรือเกรงลูกจ้างนับร้อยชีวิตของบริษัทครอบครัวขนส่งจะตกงาน แต่มันเป็นปัญหาของคนโดยสารร่วม 8 หมื่นชีวิต ที่ใช้สัญจรในแต่ละวันต่างหาก
ชั่วโมงนี้ เรือคลองแสนแสบ จึงต้องเดินหน้า และเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนเมืองหลวงบางกลุ่มต่อไป
ส่วนจะแก้ไขปรับปรุงกันอย่างไร ให้มันดูดีขึ้นนั้น น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ ปัญหา ที่ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่า กทม.ทั้งหลาย ควรจะนำไปขบคิด และลองนำเสนอเป็นนโยบาย ขายฝันกับคนกรุงเทพฯ กันดู เพราะไม่ใช่ลำพังคนโดยสาร 8 หมื่นชีวิตเท่านั้น ที่ต้องเกี่ยวพันพึ่งพาเรือคลองแสนแสบ
แต่มันเป็นปัญหาที่โยงใยไปยังทุกส่วน จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาของมหานครด้วยซ้ำ
หลากหลายปัญหาทั้งมวลที่ว่า เริ่มจากเรื่องสวัสดิภาพผู้โดยสารก่อนเป็นลำดับแรก เพราะสภาพเรือที่นำมาวิ่งกันโทงๆ นับ 10 ปีนั้น นอกจากจะไม่เหมาะกับความเป็นเรือโดยสาร เพราะไม่มีความปลอดภัยแล้ว เสียงเครื่องยนต์ยังดังแผดเสียงสูงเกินกว่าระดับ 100 เดิซิเบล อีกด้วย ไม่รู้เยื่อหูบางๆ ของคนโดยสารที่ยัดเยียดกันอยู่ในห้องเครื่อง ทนกันได้อย่างไร
ต่อมาเป็นปัญหาของคนที่อาศัยอยู่ตลอดสองฝั่งคลอง ที่ต้องทนทุกข์กับมลพิษสารพัด ทั้งเสียง ควัน และน้ำที่สาดกระเซ็น เมื่อเรือวิ่งสวนกันเป็นคลื่นแรง งานนี้ไม่นับเขื่อนคอนกรีตตลอดชายคลอง ที่ถูกคลื่นถาโถมพังลงในหลายๆ จุด ซึ่ง กทม.ต้องสูญเสียงบประมาณดูแลในแต่ละปีเป็นเงินไม่น้อย
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เชียร์ให้ยกเลิก ตราบใดที่ยังไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าให้กับคนที่ใช้บริการเรือคลองแสนแสบ แต่ต้องการให้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น อย่างน้อยที่สุด ก็อย่าปล่อยให้คำว่า ็ธุรกิจผูกขาดิ มันทำให้ผู้โดยสารต้องกลายเป็นเบี้ยล่างไปเสียทั้งหมด
โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้า-เย็น ควรจะเพิ่มจำนวนเที่ยวเรือ เพื่อไม่ให้เกิดการแออัดยัดเยียด จนสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายมากเกินไป ในขณะที่ผู้โดยสารเอง ก็จะไม่ต้องหงุดหงิดรำคาญใจ กับการรอแล้วรอเล่า อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ.