"บีเอ็มจี"ดิ้นหนีตายปัจจัยลบเพียบเล่นงานตลาดเพลงไทย-ทั่วโลกลดฮวบ เหตุพิษเทคโนโลยีสูง-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนจากแมสสู่นิชมาร์เก็ต ฮึดปรับกลยุทธ์รุกธุรกิจ ริงโทน พร้อมดึงพันธมิตรเสริมทัพ หั่นราคาวีซีดีและดีวีดี ตะลุยจัดคอนเสิร์ตแจกของพรีเมียมและปรับระบบจัดจำหน่ายใหม่ หวังสิ้นปีขึ้นแท่นค่ายเพลงอันดับสาม
นายกมลสุโกศล แคลป์ป กรรมผู้จัดการ บริษัท บีเอ็มจี เอ็นเตอรเทนเม้น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ ปรับ แผนตลาดเกี่ยวกับธุรกิจเพลงสากล เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดเพลงทั่วโลกที่ชะลอตัว เพราะเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้มีการดาวน์โหลดเพลงผ่านอินเตอร์เน็ต การไรท์ลงซีดี เพราะเครื่องราคาถูกมีมากขึ้น ประกอบกับตลาดผู้ฟังเพลงเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่กลุ่มผู้ฟังเพลงจะเป็นคนที่ฟังจริงประมาณ 30 % และกลุ่มผู้ฟังตามแฟชั่น 70% แต่ปัจจุบันมีกลุ่มเปลี่ยนเป็นกลุ่มฟังจริงจัง80% ส่วนกลุ่มฟังตามแฟชั่น20% ส่งผลให้ยอดขายของค่ายเพลงแต่ละค่ายลดลง เทียบกับเมื่อก่อนหน้าปี 2540 ยอดขายเพลงสากลมีถึง 6 แสนชุด แต่ช่วง 2-3 ปีมาเหลือเพียง 10,000 ชุด ขณะที่ยอดขายเพลงไทยเหลือเพียง 40,000-50,000 ชุด จาก 1 ล้านชุด
"ช่วงปีที่ผ่านมาหลายค่ายประสบปัญหาเหมือนกันหมด คือร้านค้าส่งสินค้าคืนค่อนข้างมากโดยพบว่าปริมาณการส่งสินค้าคืนกลับมามีถึง80%ทั้งนี้เป็นเพราะปริมาณการผลิตเพื่อเข้าสู่ตลาดมากเกินความต้องการของตลาด"
แผนการทำตลาดปีนี้ จะปรับจำนวนอัลบั้มรวมฮิต ให้ลดน้อยลง นำกลยุทธ์การแจกของพรีเมียมมาใช้ควบคู่กับการจำหน่ายเพลงสากล จะใช้งบ 15 % ของรายได้รวมของผลงานเพลง เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 สามารถกระตุ้นยอดขายได้ และลดราคาของดีวีดีลงจาก 499 บาท เหลือ 399 บาท และวีซีดี จาก 299 บาท เหลือ 199 บาท
บริษัทยังได้ดำเนินธุรกิจด้านทางนิวเทคโนโลยีในเชิงรุกมากขึ้น ในรูปแบบริงโทน และทูโทนซึ่งถือว่าเป็นค่ายเพลงสากลค่ายแรกที่สามารถทำได้ โดยจะจำหน่ายเพลงผ่านการดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ต และจำหน่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เริ่มธุรกิจกับเอไอเอสไปแล้ว คาดว่า ในปีแรกจะมีรายได้ 5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2 % ของรายได้รวม ซึ่งเมื่อเทียบรายได้จากประเทศเกาหลีบริษัทมีรายได้ถึง 50% ของรายได้รวม
"ปีนี้บริษัทจะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มขึ้น เพื่อให้ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ล่าสุดได้จับมือร่วมกับวัน ทู คอล จะนำแฟน คอนเสิร์ต ไปชม Avril Lavinge ที่ประเทศอังกฤษ โดยเลือกผู้ชนะจากผู้โหลดเพลงของ Avril นอกจากนี้บริษัทยังได้เน้น จัดคอนเสิร์ตให้มากขึ้น เพราะเห็นว่ากระแสความนิยมชมคอนเสิร์ตมีมากขึ้น"
นอกจากนั้นยังได้แยกการบริหารระหว่างเพลงไทยและเพลงสากลออกจากกัน เพื่อให้สามารถบริหารการตลาดได้เต็มที่ พร้อมแต่งตั้ง บริษัทเอ็มแอล เป็นผู้จัดจำหน่าย เพื่อลดต้นทุน สำหรับการขายอยู่ระหว่างศึกษาระบบการขายใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาการขายสินค้าจะเป็นการขายขาดเป็นส่วนมาก เพื่อป้องกันปัญหาสินค้าคืน ที่เป็นปัญหากับหลายๆค่ายอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าปีนี้การคืนสินค้าจะเหลือเพียง 5 %
ปัจจุบันตลาดรวมเพลงสากลมีมูลค่า 800-1,000 ล้านบาท โดยค่ายเพลง ยูนิเวอร์แซล เป็นอันดับหนึ่ง และโซนี่ วอร์เนอร์ และบีเอ็มจี รองลงมาตามลำดับ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทบีเอ็มจีจะขึ้นเป็นค่ายเพลงอันดันสามของตลาด
นายกมลสุโกศล แคลป์ป กรรมผู้จัดการ บริษัท บีเอ็มจี เอ็นเตอรเทนเม้น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ ปรับ แผนตลาดเกี่ยวกับธุรกิจเพลงสากล เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดเพลงทั่วโลกที่ชะลอตัว เพราะเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้มีการดาวน์โหลดเพลงผ่านอินเตอร์เน็ต การไรท์ลงซีดี เพราะเครื่องราคาถูกมีมากขึ้น ประกอบกับตลาดผู้ฟังเพลงเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่กลุ่มผู้ฟังเพลงจะเป็นคนที่ฟังจริงประมาณ 30 % และกลุ่มผู้ฟังตามแฟชั่น 70% แต่ปัจจุบันมีกลุ่มเปลี่ยนเป็นกลุ่มฟังจริงจัง80% ส่วนกลุ่มฟังตามแฟชั่น20% ส่งผลให้ยอดขายของค่ายเพลงแต่ละค่ายลดลง เทียบกับเมื่อก่อนหน้าปี 2540 ยอดขายเพลงสากลมีถึง 6 แสนชุด แต่ช่วง 2-3 ปีมาเหลือเพียง 10,000 ชุด ขณะที่ยอดขายเพลงไทยเหลือเพียง 40,000-50,000 ชุด จาก 1 ล้านชุด
"ช่วงปีที่ผ่านมาหลายค่ายประสบปัญหาเหมือนกันหมด คือร้านค้าส่งสินค้าคืนค่อนข้างมากโดยพบว่าปริมาณการส่งสินค้าคืนกลับมามีถึง80%ทั้งนี้เป็นเพราะปริมาณการผลิตเพื่อเข้าสู่ตลาดมากเกินความต้องการของตลาด"
แผนการทำตลาดปีนี้ จะปรับจำนวนอัลบั้มรวมฮิต ให้ลดน้อยลง นำกลยุทธ์การแจกของพรีเมียมมาใช้ควบคู่กับการจำหน่ายเพลงสากล จะใช้งบ 15 % ของรายได้รวมของผลงานเพลง เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 สามารถกระตุ้นยอดขายได้ และลดราคาของดีวีดีลงจาก 499 บาท เหลือ 399 บาท และวีซีดี จาก 299 บาท เหลือ 199 บาท
บริษัทยังได้ดำเนินธุรกิจด้านทางนิวเทคโนโลยีในเชิงรุกมากขึ้น ในรูปแบบริงโทน และทูโทนซึ่งถือว่าเป็นค่ายเพลงสากลค่ายแรกที่สามารถทำได้ โดยจะจำหน่ายเพลงผ่านการดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ต และจำหน่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เริ่มธุรกิจกับเอไอเอสไปแล้ว คาดว่า ในปีแรกจะมีรายได้ 5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2 % ของรายได้รวม ซึ่งเมื่อเทียบรายได้จากประเทศเกาหลีบริษัทมีรายได้ถึง 50% ของรายได้รวม
"ปีนี้บริษัทจะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มขึ้น เพื่อให้ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ล่าสุดได้จับมือร่วมกับวัน ทู คอล จะนำแฟน คอนเสิร์ต ไปชม Avril Lavinge ที่ประเทศอังกฤษ โดยเลือกผู้ชนะจากผู้โหลดเพลงของ Avril นอกจากนี้บริษัทยังได้เน้น จัดคอนเสิร์ตให้มากขึ้น เพราะเห็นว่ากระแสความนิยมชมคอนเสิร์ตมีมากขึ้น"
นอกจากนั้นยังได้แยกการบริหารระหว่างเพลงไทยและเพลงสากลออกจากกัน เพื่อให้สามารถบริหารการตลาดได้เต็มที่ พร้อมแต่งตั้ง บริษัทเอ็มแอล เป็นผู้จัดจำหน่าย เพื่อลดต้นทุน สำหรับการขายอยู่ระหว่างศึกษาระบบการขายใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาการขายสินค้าจะเป็นการขายขาดเป็นส่วนมาก เพื่อป้องกันปัญหาสินค้าคืน ที่เป็นปัญหากับหลายๆค่ายอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าปีนี้การคืนสินค้าจะเหลือเพียง 5 %
ปัจจุบันตลาดรวมเพลงสากลมีมูลค่า 800-1,000 ล้านบาท โดยค่ายเพลง ยูนิเวอร์แซล เป็นอันดับหนึ่ง และโซนี่ วอร์เนอร์ และบีเอ็มจี รองลงมาตามลำดับ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทบีเอ็มจีจะขึ้นเป็นค่ายเพลงอันดันสามของตลาด