วานนี้(23 มิ.ย.)ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมติดตามความคืบหน้าคดี การจับกุมบริษัทปล่อยเงินกู้นอกระบบ โดยมี พล.ต.ท.วงกต มณีรินทร์ ผบช.ก.ตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด และ ตัวแทนจาก ปปง.ร่วมประชุม หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม บริษัทเจเนอรัล เซอร์วิส อิเลคทริค(2003)จำกัด สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม พร้อมสำนักงานสาขาอีก 52แห่งทั่วประเทศ และห้างหุ้นส่วนจำกัด แอลพีดีเอส สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ อำเภอเมืองอุดรธานี พร้อมสำนักงานสาขาอีก 12แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 21มิ.ย.ที่ผ่านมา
พล.ต.อ.ธวัชชัย เปิดเผยว่า การสืบสวนคดีนี้จะมีบช.ก.เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยเฉพาะการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม ส่วนการดำเนินคดีกับสาขาต่างๆทั่วประเทศรวม 64แห่ง ให้แต่ละกองบัญชาการเจ้าของพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบสวนเบื้องต้น ทั้งนี้ การจะยึดทรัพย์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับข้อหา หากตกเป็นผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ และฉ้อโกงทรัพย์ ก็จะเข้าข่ายมูลฐานความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
สำหรับนายบรรดิษฐ์ หรือ กบ ธัญสิทธิ์ และนายสมชาย ธัญสิทธิ์ ผู้บริหารห้างหุ้นส่วนจำกัด แอลพีดีเอส เคยถูกดำเนินคดีปล่อยเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ศาลพิพากษาลงโทษ และห้ามประกอบอาชีพลักษณะดังกล่าว แต่ก็ฝ่าฝืนโดยใช้วิธีเลี่ยงกฎหมายด้วยการทำนิติกรรมอำพราง
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นตามคำให้การของพยานยังไม่พบว่ามีนักการเมือง หรือ ข้าราชการประจำรายใดเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง แต่หากพบก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น
ด้านพล.ต.ท.วงกต กล่าวว่า ขอให้ผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งมาให้ บช.ก.เพื่อดำเนินการในภาพรวม ส่วนที่ผ่านมาตำรวจท้องที่บางแห่งตกเป็นเครื่องมือของขบวนการดังกล่าว เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปดำเนินคดีผู้กู้ในข้อหายักยอกทรัพย์ แต่ ขณะนี้มีภาพที่ชัดเจนขึ้น ว่า เป็นวิวัฒนาการของกลุ่มที่เคยปล่อยเงินกู้แล้ว รีดดอกเบี้ยอัตราสูงกว่าร้อยละ15 ต่อปี ที่ซับซ้อนขึ้นโดยใช้สัญญาการเช่าซื้อสินค้าที่สามารถคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่ากำหนดได้ แล้วใช้ข้อกฎหมายมาบังคับให้ชำระเงินโดยไม่เป็นธรรม
สำหรับทางคดี พนักงานสอบสวนจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30วัน ก่อนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหา โดยขณะนี้ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการขึ้นมาดูแลคดีนี้โดยตรงรวม 3 จุด ประกอบด้วย ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1ถ.วิภาวดี รับผิดชอบพื้นที่ภาค 1,2,7และ 8, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3จ.นครราชสีมา รับผิดชอบพื้นที่ภาค 3-4,และ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5จ.เชียงใหม่ รับผิดชอบพื้นที่ภาค 5-6โดยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนข้อมูลให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่
ดังนั้นขอให้ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากสัญญาดังกล่าวเข้าให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนว่าการไปทำสัญญากับบริษัทเหล่านี้ เพราะต้องการเงิน หรือสินค้ากันแน่ และหากทราบว่าเมื่อทำสัญญาแล้วจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ยังยินดีที่จะทำสัญญาหรือไม่
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา พนักงานสอบสวนกองปราบ ได้ควบคุมตัว นายชัยยะ บุญเจริญ อายุ 37ปี และ นายอินทรโชติ บุญเจริญ อายุ 39ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัทเจเนอรัล เซอร์วิส อิเลคทริค ผู้ต้องหาในคดี ฉ้อโกงประชาชน และปล่อยเงินกู้โดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไปขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก โดยพนักงานสอบสวนอ้างว่าเนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำผู้ต้องหาและพยานเพิ่มเติม อีกจำนวน 50ปาก พร้อมคัดค้านการประกันตัว หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง ตำรวจนำตัวผู้ต้องหากลับไปควบคุมที่กองปราบปราม
พล.ต.อ.ธวัชชัย เปิดเผยว่า การสืบสวนคดีนี้จะมีบช.ก.เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยเฉพาะการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม ส่วนการดำเนินคดีกับสาขาต่างๆทั่วประเทศรวม 64แห่ง ให้แต่ละกองบัญชาการเจ้าของพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบสวนเบื้องต้น ทั้งนี้ การจะยึดทรัพย์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับข้อหา หากตกเป็นผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ และฉ้อโกงทรัพย์ ก็จะเข้าข่ายมูลฐานความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
สำหรับนายบรรดิษฐ์ หรือ กบ ธัญสิทธิ์ และนายสมชาย ธัญสิทธิ์ ผู้บริหารห้างหุ้นส่วนจำกัด แอลพีดีเอส เคยถูกดำเนินคดีปล่อยเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ศาลพิพากษาลงโทษ และห้ามประกอบอาชีพลักษณะดังกล่าว แต่ก็ฝ่าฝืนโดยใช้วิธีเลี่ยงกฎหมายด้วยการทำนิติกรรมอำพราง
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นตามคำให้การของพยานยังไม่พบว่ามีนักการเมือง หรือ ข้าราชการประจำรายใดเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง แต่หากพบก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น
ด้านพล.ต.ท.วงกต กล่าวว่า ขอให้ผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งมาให้ บช.ก.เพื่อดำเนินการในภาพรวม ส่วนที่ผ่านมาตำรวจท้องที่บางแห่งตกเป็นเครื่องมือของขบวนการดังกล่าว เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปดำเนินคดีผู้กู้ในข้อหายักยอกทรัพย์ แต่ ขณะนี้มีภาพที่ชัดเจนขึ้น ว่า เป็นวิวัฒนาการของกลุ่มที่เคยปล่อยเงินกู้แล้ว รีดดอกเบี้ยอัตราสูงกว่าร้อยละ15 ต่อปี ที่ซับซ้อนขึ้นโดยใช้สัญญาการเช่าซื้อสินค้าที่สามารถคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่ากำหนดได้ แล้วใช้ข้อกฎหมายมาบังคับให้ชำระเงินโดยไม่เป็นธรรม
สำหรับทางคดี พนักงานสอบสวนจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30วัน ก่อนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหา โดยขณะนี้ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการขึ้นมาดูแลคดีนี้โดยตรงรวม 3 จุด ประกอบด้วย ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1ถ.วิภาวดี รับผิดชอบพื้นที่ภาค 1,2,7และ 8, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3จ.นครราชสีมา รับผิดชอบพื้นที่ภาค 3-4,และ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5จ.เชียงใหม่ รับผิดชอบพื้นที่ภาค 5-6โดยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนข้อมูลให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่
ดังนั้นขอให้ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากสัญญาดังกล่าวเข้าให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนว่าการไปทำสัญญากับบริษัทเหล่านี้ เพราะต้องการเงิน หรือสินค้ากันแน่ และหากทราบว่าเมื่อทำสัญญาแล้วจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ยังยินดีที่จะทำสัญญาหรือไม่
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา พนักงานสอบสวนกองปราบ ได้ควบคุมตัว นายชัยยะ บุญเจริญ อายุ 37ปี และ นายอินทรโชติ บุญเจริญ อายุ 39ปี กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัทเจเนอรัล เซอร์วิส อิเลคทริค ผู้ต้องหาในคดี ฉ้อโกงประชาชน และปล่อยเงินกู้โดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไปขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก โดยพนักงานสอบสวนอ้างว่าเนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำผู้ต้องหาและพยานเพิ่มเติม อีกจำนวน 50ปาก พร้อมคัดค้านการประกันตัว หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง ตำรวจนำตัวผู้ต้องหากลับไปควบคุมที่กองปราบปราม