วานนี้(21 มิ.ย)5 หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการป้องกันและปราบปราม การกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ประกอบด้วย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมธุรกิจพลังงาน ได้ร่วมกันแถลงข่าว การป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อนช่วงน้ำมันราคาแพง
โดย นายเมตตา บรรเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เปิดเผยว่าแม้รัฐบาลจะปรับเพดานราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลิตรละ 60สตางค์ แต่สถานการณ์การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง โดยการกระทำผิด ที่ยังมีอยู่คือ การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง บริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ลักษณะรายเล็กๆ หรือกองทัพมด และจากการดำเนินนโยบายป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง รวมถึงการดำเนินการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร หรือน้ำมันเขียว เป็นผลสำเร็จทำให้น้ำมันเถื่อนหมดไปจากท้องทะเลไทย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ภาครัฐจึงมีนโยบายในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด โดยมุ่งเน้นไปที่มาตรการหลักในการปราบปราม ด้วยการเข้มงวดในการจับกุมและตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของการลักลอบนำเข้าน้ำมันและกรณีการลักทรัพย์น้ำมัน เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
นายเกียรติ สมานบุตร รองอธิบดีกลุ่มภารกิจปราบปราม กรมสรรพสามิต กล่าวว่าในส่วนของกรมสรรพสามิตได้เริ่มการนำสารมาร์เกอร์ ตัวใหม่ชื่อ สารยูนิมาร์ก ซึ่งแสดงสีให้เห็นทันทีเมื่อมีการเติมสารเคมีลงไป มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมตรวจสอบการลักลอบส่งน้ำมันที่ส่งออกกลับเข้ามาในประเทศได้ดียิ่งขึ้น พร้อมให้มีการตั้งมิเตอร์ที่คลังน้ำมันชายฝั่งทะเล และการติดมิเตอร์ที่โรงงานผู้ผลิตสารละลายไฮโดรคาร์บอน(โซลเว้นท์)เพื่อช่วยในการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง เพื่อควบคุมมิให้เกิดการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ไปปะปนในน้ำมัน และสกัดกั้นขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่ลักลอบนำน้ำมันกลับเข้ามาในประเทศ
พล.ต.ท.นาวิน สิงหะผลิน หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ปนม.ศปก.ตร.เปิดเผยว่า สตช. ได้มีมาตรการดำเนินการปราบปราม การกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือน ต.ค.46- พ.ค.47สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 618 คดีคิดเป็นปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ 1,124,221 ลิตร มูลค่ากว่า 155 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการปลอมปน น้ำมัน ด้วยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลว และสารไฮโครคาร์บอน(โซลเว้นท์)ไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง พบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น สตช.จึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 200 นาย ไปเฝ้าระวังตามคลังน้ำมัน ที่เข้าข่ายน่าสงสัย เพื่อป้องกันการลักลอบ น้ำสารโซลเว้นท์ ไปปลอมปม ในน้ำมันเชื้อเพลิง และจำหน่ายให้ผู้บริโภค
ด้านนายสมชาย พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากรกล่าวว่า ขณะนี้ กรมศุลการกรของไทยได้มีการประสานงานกับกรมศุลกากรของประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมกันป้องกันการลักลอบนำน้ำมันเข้ามาในประเทศไทย พร้อมทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรตามแนวชายแดนทุกแห่ง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจปล่อยสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจลาดตระเวนทั้งทางบกและทางทะเล ให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดย นายเมตตา บรรเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เปิดเผยว่าแม้รัฐบาลจะปรับเพดานราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลิตรละ 60สตางค์ แต่สถานการณ์การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง โดยการกระทำผิด ที่ยังมีอยู่คือ การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง บริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ลักษณะรายเล็กๆ หรือกองทัพมด และจากการดำเนินนโยบายป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง รวมถึงการดำเนินการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร หรือน้ำมันเขียว เป็นผลสำเร็จทำให้น้ำมันเถื่อนหมดไปจากท้องทะเลไทย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ภาครัฐจึงมีนโยบายในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด โดยมุ่งเน้นไปที่มาตรการหลักในการปราบปราม ด้วยการเข้มงวดในการจับกุมและตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของการลักลอบนำเข้าน้ำมันและกรณีการลักทรัพย์น้ำมัน เพื่อนำไปจำหน่ายต่อ ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
นายเกียรติ สมานบุตร รองอธิบดีกลุ่มภารกิจปราบปราม กรมสรรพสามิต กล่าวว่าในส่วนของกรมสรรพสามิตได้เริ่มการนำสารมาร์เกอร์ ตัวใหม่ชื่อ สารยูนิมาร์ก ซึ่งแสดงสีให้เห็นทันทีเมื่อมีการเติมสารเคมีลงไป มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมตรวจสอบการลักลอบส่งน้ำมันที่ส่งออกกลับเข้ามาในประเทศได้ดียิ่งขึ้น พร้อมให้มีการตั้งมิเตอร์ที่คลังน้ำมันชายฝั่งทะเล และการติดมิเตอร์ที่โรงงานผู้ผลิตสารละลายไฮโดรคาร์บอน(โซลเว้นท์)เพื่อช่วยในการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง เพื่อควบคุมมิให้เกิดการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ไปปะปนในน้ำมัน และสกัดกั้นขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่ลักลอบนำน้ำมันกลับเข้ามาในประเทศ
พล.ต.ท.นาวิน สิงหะผลิน หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ปนม.ศปก.ตร.เปิดเผยว่า สตช. ได้มีมาตรการดำเนินการปราบปราม การกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือน ต.ค.46- พ.ค.47สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 618 คดีคิดเป็นปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ 1,124,221 ลิตร มูลค่ากว่า 155 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการปลอมปน น้ำมัน ด้วยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลว และสารไฮโครคาร์บอน(โซลเว้นท์)ไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง พบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น สตช.จึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 200 นาย ไปเฝ้าระวังตามคลังน้ำมัน ที่เข้าข่ายน่าสงสัย เพื่อป้องกันการลักลอบ น้ำสารโซลเว้นท์ ไปปลอมปม ในน้ำมันเชื้อเพลิง และจำหน่ายให้ผู้บริโภค
ด้านนายสมชาย พูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนปราบปรามทางทะเล กรมศุลกากรกล่าวว่า ขณะนี้ กรมศุลการกรของไทยได้มีการประสานงานกับกรมศุลกากรของประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมกันป้องกันการลักลอบนำน้ำมันเข้ามาในประเทศไทย พร้อมทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากรตามแนวชายแดนทุกแห่ง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจปล่อยสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจลาดตระเวนทั้งทางบกและทางทะเล ให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย