พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังก์ถัด)ครั้งที่ 11 ที่บราซิล เป็นเจ้าภาพว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยเสนอต่อที่ประชุมตรงกับหัวข้อในการพิจารณาที่ต้องการให้เกิดภูมิศาสตร์ของการค้าใหม่ ซึ่งที่ผ่านมารูปแบบการค้าระหว่างประเทศทางตอนใต้กับประเทศทางตอนเหนือ หรือ South To North หมายถึง ประเทศที่ด้อยพัฒนามักจะมุ่งค้าขายกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เวทีอังก์ถัดครั้งนี้ต้องการให้ประเทศกำลังพัฒนาค้าขายต่อกันมากขึ้น สิ่งที่รัฐบาลไทยเสนอไปค่อนข้างชัดเจนในเรื่องกรอบความร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) โดยเน้นย้ำว่าหากประเทศกำลังพัฒนาค้าขายต่อกัน จะมีตลาดใหญ่โตมากขึ้น แทนที่จะมาตัดราคากัน แล้วขายของราคาถูกให้ประเทศพัฒนาแล้ว น่าจะมาค้าขายกันเอง กลายเป็นข้อเสนอในรูปแบบ South-South Cooperation หรือ ความร่วมมือระหว่างประเทศทางตอนใต้ด้วยกัน
“ผมคุยกับผู้นำหลายประเทศ โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยตามทฤษฎีพึ่งพาตนเอง พยายามยืนอยู่บนลำแข็งของตนเอง โดยนำแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน จนทำให้ไทยสามารถยืนอยู่บนลำแข้งของตนเองได้เล่าต่อที่ประชุมอังก์ถัด และเสนอให้เรามาค้าขายกันเองในประเทศกำลังพัฒนา เปิดตลาดให้กันและกัน ประธานาธิบดีบราซิลก็เห็นว่า แค่ลดภาษีที่มีอยู่ลงครึ่งหนึ่ง ปริมาณการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้นกว่า 600,000 ล้านบาท จะทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ดีกว่าไปกู้ยืมเงินขอความช่วยเหลือใคร” นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับ หนทางที่ดีที่สุดในการให้ความช่วยเหลือกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนา คือ การเปิดตลาดให้กันและกัน ไม่กีดกันการค้าระหว่างกัน ดังนั้น ที่ประชุมอังก์ถัดจึงเห็นว่า เราควรเปิดตลาดการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาให้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกค้าขายกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งในอนาคตไทยก็จะเปิดตลาดการค้ากับประเทศในแถบอเมริกาใต้มากขึ้น โดยเฉพาะกับบราซิล ส่วนจะถึงขั้นเปิดเขตการค้าเสรีหรือไม่คงต้องหารือในลำดับต่อไป
“ผมคุยกับผู้นำหลายประเทศ โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยตามทฤษฎีพึ่งพาตนเอง พยายามยืนอยู่บนลำแข็งของตนเอง โดยนำแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน จนทำให้ไทยสามารถยืนอยู่บนลำแข้งของตนเองได้เล่าต่อที่ประชุมอังก์ถัด และเสนอให้เรามาค้าขายกันเองในประเทศกำลังพัฒนา เปิดตลาดให้กันและกัน ประธานาธิบดีบราซิลก็เห็นว่า แค่ลดภาษีที่มีอยู่ลงครึ่งหนึ่ง ปริมาณการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้นกว่า 600,000 ล้านบาท จะทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ดีกว่าไปกู้ยืมเงินขอความช่วยเหลือใคร” นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับ หนทางที่ดีที่สุดในการให้ความช่วยเหลือกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนา คือ การเปิดตลาดให้กันและกัน ไม่กีดกันการค้าระหว่างกัน ดังนั้น ที่ประชุมอังก์ถัดจึงเห็นว่า เราควรเปิดตลาดการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาให้มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกค้าขายกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งในอนาคตไทยก็จะเปิดตลาดการค้ากับประเทศในแถบอเมริกาใต้มากขึ้น โดยเฉพาะกับบราซิล ส่วนจะถึงขั้นเปิดเขตการค้าเสรีหรือไม่คงต้องหารือในลำดับต่อไป