ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดตัวเลขผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปี 2568 ว่า ไปรษณีย์ไทยมีรายได้รวม 16,860.73 ล้านบาท และมีกำไร 478.60 ล้านบาท ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และแรงกดดันจากต้นทุนและนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิง
โครงสร้างรายได้ยังคงพึ่งพาธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์เป็นหลัก โดยกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ทำรายได้ 7,990.28 ล้านบาท คิดเป็น 47.39% ของรายได้ทั้งหมด และขยายตัว 8.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจไปรษณียภัณฑ์ยังคงเป็นเสาหลักอีกรายการหนึ่ง ด้วยรายได้ 5,947.08 ล้านบาท หรือ 35.27% ของรายได้ทั้งหมด เติบโต 8.57% จากปีก่อน สะท้อนว่า ตลาดจดหมายและเอกสารที่จำเป็นในชีวิตประจำวันและภาคธุรกิจยังไม่หายไป แม้พฤติกรรมผู้บริโภคจะทยอยขยับสู่โลกดิจิทัลก็ตาม
อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศกลับเป็นจุดที่รับแรงกระแทกเต็มๆ โดยมีรายได้รวม 1,726.40 ล้านบาท คิดเป็น 10.24% ของรายได้ทั้งหมด แต่หดตัวลง 10.29% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับผลของ 'ภาษีทรัมป์' ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยถึง 19% และส่งผลต่อเนื่องให้การส่งของไปต่างประเทศชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนธุรกิจค้าปลีกและการเงินทำรายได้ 877.60 ล้านบาท คิดเป็น 5.13% ของรายได้ทั้งหมด ขยายตัว 14.33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้อื่นๆ อยู่ที่ 193.63 ล้านบาท หรือ 1.15% เติบโต 13.81% และธุรกิจอื่นๆ มีรายได้ 137.91 ล้านบาท คิดเป็น 0.82% เติบโต 1.80% เมื่อเทียบกับปี 2567 แสดงให้เห็นว่าไปรษณีย์ไทยกำลังใช้ 'การกระจายแหล่งรายได้' มาช่วยรองรับความผันผวนของตลาดหลักอย่างต่อเนื่อง และยังคงให้บริการเพื่อสังคม (PSO) โดยตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 2568 คิดเป็น 466.93 ล้านบาท
◉ คาดทั้งปีรายได้ 2 หมื่นล้าน แต่กำไรหด
แม้ต้องเผชิญผลพวงจากภาษีทรัมป์ ซึ่ง ดร.ดนันท์ ยอมรับว่า เป็นแรงกระแทกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และคาดว่าจะทำให้รายได้จากกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศตลอดปี 2568 ลดลงกว่า 200 ล้านบาท แต่ไปรษณีย์ไทยยังคงประคองภาพรวมให้เติบโตได้ จากการเร่งขยายบริการภายในประเทศและปรับประสิทธิภาพเครือข่าย
จากการประเมินทั้งปี 2568 ไปรษณีย์ไทยคาดว่าจะมีรายได้รวม 22,702.27 ล้านบาท และมีกำไร 95.72 ล้านบาท แม้ตัวเลขกำไรจะไม่โดดเด่นเท่าการเติบโตของรายได้ แต่สะท้อนว่า บริษัทต้องรับภาระต้นทุนและภารกิจเพื่อสังคมควบคู่กันไป
โครงสร้างรายได้ทั้งปีที่คาดการณ์ไว้ แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ 10,695.03 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจไปรษณียภัณฑ์ 7,893.02 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ 2,435.87 ล้านบาท ธุรกิจค้าปลีกและการเงิน 1,199.68 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 277.63 ล้านบาท และ ธุรกิจอื่นๆ 201.04 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวชี้ชัดว่า แม้รายได้ระหว่างประเทศจะถูกบีบจากกำแพงภาษี แต่การเติบโตของขนส่งและโลจิสติกส์ในประเทศ รวมถึงการขยายบริการด้านการเงินและค้าปลีก ทำให้ภาพรวมรายได้ยังขยับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม กำไรที่หดลงชัดเจนเมื่อเทียบกับขนาดรายได้ สะท้อนภาระต้นทุนและข้อจำกัดของการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ยังต้องทำหน้าที่เพื่อสังคมควบคู่กับการรักษาความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ
◉ นวัตกรรมเคลื่อนความยั่งยืน-ปักหมุด Tech Post
ในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องสู่ปี 2569 ไปรษณีย์ไทยวางยุทธศาสตร์ 'Sustainnovation' เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านองค์กร โดยเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับโครงสร้างธุรกิจทั้งระบบ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานบริการ การออกแบบระบบหลังบ้าน ไปจนถึงการสร้างพอร์ตธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล
แนวคิด 'Sustainnovation' ไม่ได้มองการเติบโตแค่ในมิติตัวเลขรายได้ แต่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ธุรกิจ และระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้เท่าทันพฤติกรรมยุคออนไลน์ ขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบเชิงสิ่งแวดล้อมผ่านการวางแผนเส้นทางส่งของอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้ทรัพยากร
ดร.ดนันท์ มองว่า แนวทางนี้คือ ก้าวสำคัญในการวางตำแหน่งไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น 'Tech Post' อย่างเต็มรูปแบบ คือไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการไปรษณีย์แบบเดิม แต่เป็นองค์กรเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ ที่สามารถพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ ให้กับทั้งรัฐ เอกชน และผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง
◉ ปั้น AI-ซูเปอร์แอป เปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า
หนึ่งในเสาหลักของ 'Sustainnovation' คือ การขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI ไปรษณีย์ไทยกำลังศึกษาทดลองใช้ AI ในหลายส่วนควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเส้นทางนำจ่ายที่เหมาะสม เพื่อลดเวลา ลดข้อผิดพลาด และลดการใช้พลังงานในการขนส่ง, การบริหารจัดการคลังสินค้า โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของลูกค้าเพื่อจัดการสต็อกได้แม่นยำขึ้น รวมถึง การพัฒนา Chatbot และระบบตอบรับอัจฉริยะ ให้บริการข้อมูลและช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นแก่ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง
พร้อมกันนี้ ไปรษณีย์ไทยยังพัฒนาซูเปอร์แอปที่จะรวบรวมบริการขนส่ง การเงิน และอีคอมเมิร์ซไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อลดความซับซ้อนของการใช้งานแอปจำนวนมากในอดีต และสร้าง 'Single Touch Point' สำหรับลูกค้ารายย่อย โดยซูเปอร์แอปดังกล่าวจะเชื่อมข้อมูลการติดตามพัสดุ การชำระเงิน การเลือกจุดรับ-ส่ง ไปจนถึงการจัดเก็บข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบรหัส เช่น B-ID เพื่อให้บริหารจัดการได้ครบวงจรในที่เดียว
ในมิติความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ไปรษณีย์ไทยยังเร่งพัฒนาบริการ D/ID เพื่อเป็นรหัสกลางเชื่อมโยงหน่วยงานรัฐ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และเอกชน ทำให้การรับ-ส่งพัสดุ การชำระเงิน COD การคืนสินค้า และการตรวจสอบสถานะ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ และรองรับปริมาณงานต่อวันที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนบุคลากรอย่างไร้เหตุผล
◉ ดีลไทย-ลาว เชื่อม e-Commerce ข้ามพรมแดน
อีกหนึ่งหมุดหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ความร่วมมือระหว่างไปรษณีย์ไทยและไปรษณีย์ลาว ในการประชุมความร่วมมือด้านไปรษณีย์ครั้งที่ 29 ซึ่ง ดร.ดนันท์ ระบุว่า ไม่ใช่เพียงการเชื่อมโลจิสติกส์ระหว่างสองประเทศ แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลในทั้งภูมิภาค
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ เดือน ก.ย.2568 ระบุว่า การค้ารวมระหว่างไทยและ สปป.ลาว มีมูลค่ากว่า 23,952 ล้านบาท ขยายตัว 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และสอดคล้องกับการเติบโตของตลาด e-Commerce ในลาว ที่มีการสั่งซื้อออนไลน์และใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากแนวโน้มดังกล่าว ไปรษณีย์ไทยและไปรษณีย์ลาวจึงกำหนดยุทธศาสตร์ร่วม 5 ด้าน ได้แก่ 1.ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและมาตรฐานสากลของการขนส่งไปรษณีย์ ผ่านระบบส่งต่อถุงเมล์ปิด-เปิด ทั้งทางอากาศ ภาคพื้น และบริการ EMS ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ควบคู่กับการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านศุลกากรและเพิ่มความโปร่งใส 2.พัฒนาบริการ e-Commerce ข้ามพรมแดน ไทย-ลาว-จีน ด้วยการขยายบริการ ePacket และ COD ให้ผู้ประกอบการรายย่อยส่งสินค้าได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รองรับกระแสค้าขายออนไลน์ที่โตต่อเนื่องในภูมิภาค CLMV และตามแนวเส้นทางรถไฟจีน-ลาว
3.เสริมศักยภาพด้านการเงินดิจิทัล ผ่านบริการ e-Wallet และช่องทางชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมต่ออายุความร่วมมือแบบ Exclusive กับ Western Union ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่ปลอดภัยและโปร่งใสให้ประชาชนทั้งสองประเทศ 4.สร้างภาพลักษณ์ร่วมผ่านตราไปรษณียากร ด้วยการจัดทำแสตมป์เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-ลาว สะท้อนมิตรภาพและวัฒนธรรมร่วมกันในระดับสัญลักษณ์ และ 5.พัฒนาศักยภาพบุคลากรและการเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และจัดอบรมในรูปแบบ Onsite และ Virtual Learning ระหว่างบุคลากรไปรษณีย์ไทย-ลาว เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการให้ใกล้เคียงกัน
ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการ SME และผู้ค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังทำให้ไปรษณีย์ไทยขยับเข้าใกล้เป้าหมายการเป็น 'Trusted ASEAN Brand' และศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค CLMV-จีนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น


