จับสัญญาณ AI เขย่าประเทศไทยส่งท้ายปี 68 จากการเปิดตัวโครงการ "ปัญญาไท" (PanyaThAI) ของกูเกิลคลาวด์ (Google Cloud) ที่เพิ่งเผยโฉม 15 องค์กร 15 ยูสเคส สำหรับเป็นต้นแบบไว้เรียกแขก ช่วยให้นักธุรกิจไทยเห็นภาพชัดขึ้นว่าควรจะลงทุนนำปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ไปใช้ในองค์กรอย่างไร
หากมองเร็ว ๆ โครงการปัญญาไทของ Google Cloud เป็นโครงการยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี Agentic AI ระดับสูงมาใช้ในองค์กรไทย เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน แต่ลึกลงไป โครงการนี้มีผลกระทบและความสำคัญเชิงลึกต่อสังคมและเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะการส่งสัญญาณว่าธุรกิจไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่ยุค Agentic AI แบบจริงจัง และองค์กรเบอร์ต้นของไทยได้เข้าเกียร์เดินหน้าปั้นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมีการกำกับดูแลจากมนุษย์อย่างต่อเนื่อง แถมยังรับมือกับงานที่ซับซ้อน และปรับตัวได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
แม้แต่ชื่อโครงการ "PanyaThAI" (ปัญญาไท) ก็ยังถูกสร้างโดย AI อย่าง Gemini เพื่อสื่อถึงการผสาน "ปัญญา" (AI) เข้ากับ "ไท" ซึ่งกูเกิลนิยามว่าคือคนไทยและวัฒนธรรมไทย โดยผู้บริหารที่ไม่ใช่คนไทย และไม่รู้ภาษาไทย ได้ป้อนคำสั่งให้กับ Gemini พร้อมกับเน้นย้ำว่าชื่อโครงการต้องเป็นชื่อที่สื่อถึงความเป็น "Thailand" และต้องมีการเล่นคำที่เกี่ยวข้องกับคำว่า "AI" ขณะเดียวกันก็ต้องมีความหมายให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง จน Gemini ได้เสนอชื่อมาถึง 78 ชื่อที่แตกต่างกัน และชื่อที่ได้รับเลือกคือ PanyaThAI ซึ่งถูกมองว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ลงตัวจากการมีอักษร AI อยู่ในตัวสะกด
โครงการนี้จุดพลุด้วยองค์กรชั้นนำ 15 แห่งของไทย ครอบคลุมอุตสาหกรรมการเงิน ค้าปลีก การศึกษา การผลิต สื่อ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจำนวนองค์กรที่เข้าร่วมนี้ถือว่ามากที่สุดในโครงการลักษณะเดียวกันในภูมิภาคอาเซียน (เทียบกับอินโดนีเซียและสิงคโปร์) สะท้อนถึงความพร้อมและวิสัยทัศน์ที่แข็งแกร่งของผู้บริหารไทย
***ศักยภาพมหาศาล
นายอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่าหากองค์กรไทยสามารถประยุกต์ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยได้สูงถึง 730,000 ล้านบาท (21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2573
ตัวเลขนี้ไม่ได้สวยงามเกินจริง เพราะการสำรวจของกูเกิล พบว่าองค์กรที่ใช้ AI ของ Google Cloud ทั่วโลกได้รับ ROI หรือผลตอบแทนจากการลงทุน เฉลี่ยสูง 727% ใน 3 ปี และมีระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ภายในเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งตัวเลขนี้ย่อมเป็นแรงผลักดันหลักที่สร้างความเชื่อมั่นในการนำ AI มาใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้
"ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วกับลูกค้ารายอื่น ๆ ที่ Google เข้าไปช่วย และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโครงการนี้ในไทย" แม่ทัพ Google Cloud ประเทศไทย ระบุ "เป้าหมายคือการช่วยให้องค์กรไทยก้าวข้ามหลุมพรางของการทดลอง (Pilot Purgatory) และสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง ซึ่งเป็นการยกระดับการใช้ AI จากการทดลองไปสู่การสร้างมูลค่าธุรกิจหลัก"
*** นำร่อง 15 ยักษ์ใหญ่ไทย
โครงการนี้ดึงดูดความสนใจทันทีเนื่องจากมีองค์กรขนาดใหญ่ 15 แห่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งหรือ Charter Members ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ การเงิน การค้าปลีก การศึกษา และการผลิต โดยหลายองค์กรได้นำเสนอผลลัพธ์ที่จับต้องได้
ตัวอย่างเช่น ซีเอ็ด (SE-Education) หรือ SE-ED ที่ใช้ AI เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Organic Conversion Rate) จาก 12% เป็น 27% ทำให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการและเกี่ยวข้องได้เร็วและแม่นยำขึ้น
ยังมี ทิพยประกันภัย (Dhipaya Group Holdings) ที่ใช้ AI ลดเวลาตรวจสอบรถจากหลายวันเหลือไม่กี่นาที ลดต้นทุนเฉลี่ยกว่า 70% พร้อมเพิ่มความโปร่งใสในการประเมินความเสียหาย
ขณะที่ ไทยวาโก้ (Thai Wacoal) ใช้ Nano Banana Pro, Veo 3.1 แก้ปัญหาการถ่ายภาพสินค้าที่ซ้ำซ้อนและมีต้นทุนสูง โดยใช้ภาพนางแบบที่ยังมีสัญญาครอบคลุม นำมาดัดแปลงสร้างภาพเสมือนจริงและวิดีโอ 360° ของทุกสีจากสินค้าชิ้นเดียว เปิดโอกาสให้เปลี่ยนไปสู่โมเดลสินค้าสั่งทำในอนาคต
ที่เด็ดคือ ทิสโก้ หรือ TISCO Financial Group ที่ปั้น Agent AI ภายในองค์กรชื่อ "พี่รู้ดี" (RooDee) ทำหน้าที่เป็นโค้ชส่วนตัวและผู้ช่วยฝึกสอนพนักงานขาย โดยใช้เทคนิคจากพนักงานขายระดับท็อป ล่าสุดพี่รู้ดีเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทำงานที่กำหนดให้พนักงานต้องผ่านการทดสอบ ก่อนการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่
รวมถึง ทรู (True Digital Group) ที่หยิบ AI มาเป็นตัวช่วยเปลี่ยนป้ายราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเปลี่ยนราคาแบบอัตโนมัติตามความหนาแน่นและพฤติกรรมของลูกค้าในขณะนั้น พร้อมกับเน้นประสานข้อมูลของทุกส่วนแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ทั้ง 6 องค์กรนี้เป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 15 องค์กร ซึ่งยังมี บิทาซซ่า (Bitazza), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University), ฟีโนมีนา (Finnomena), ไทยสมุทรประกันชีวิต (Ocean Life Insurance), บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด (Shop Global E-Commerce Company Limited), สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat), แสนสิริ (Sansiri), สคูลดิโอ (Skooldio), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ท็อปส์ (TOPS) ผู้จะทำหน้าที่เป็นโครงการต้นแบบในลักษณะ Lighthouse Projects ที่แสดงให้เห็นตัวอย่างความสำเร็จจริงในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นและการเติบโตของระบบนิเวศ AI ของ Google Cloud ในไทย
*** ลดแรงต้าน? โปรเจกต์ใบ้วิธีแก้เกมคนไม่เอา AI
โครงการ PanyaThAI ยังน่าสนใจที่การไม่ได้เน้นแค่เทคโนโลยี แต่เน้นการแก้ปัญหาที่แท้จริงของการนำ AI มาใช้ในองค์กรไทยด้วย ซึ่งนาทีนี้สปอตไลท์ฉายแสงลงไปที่เรื่อง "คน" ผู้อาจกังวลเรื่องการตกงาน จนเกิดแรงต้านและทำให้การพัฒนา AI เดินช้าไม่ทันใจ
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TISCO Financial Group ผู้เติบโตมาจากสายงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เล่าถึงแนวคิดการลดอีโก้และความรู้สึกเป็นเจ้าของความรู้ของพนักงานที่มีประสบการณ์ โดยมองว่ามนุษย์ไม่ควรมี "อีโก้" ในความรู้ เมื่อเทียบกับจักรวาลข้อมูลที่ AI ประมวลผลได้ และพนักงานควรเปิดใจให้ความรู้เดิมขยายใหญ่ขึ้นด้วย AI
ในอีกด้าน TISCO ยังมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่สมเหตุสมผล โดย TISCO ใช้สูตร sharing of benefit ที่มาจากกำไรสุทธิ (bottom line) ขององค์กร ทำให้พนักงานมีความชัดเจนว่าการนำ AI มาใช้จะสร้างผลประโยชน์ที่กลับคืนมายังตัวเอง
โครงการนี้ยังมุ่งโชว์ยูสเคสกลยุทธ์การปรับเปลี่ยน โดยตัวอย่าง 15 ยูสเคสของโปรเจกต์นี้สะท้อนว่าสิ่งที่องค์กรควรทำคือการ "ดัดองค์กรให้เข้ากับ AI" (Changing Organization to AI) โดยยอมปรับเปลี่ยนโครงสร้าง กระบวนการ และบุคลากร แทนที่จะพยายามดัด AI ให้เข้ากับองค์กรเดิม
ขณะเดียวกัน แนวทางการพัฒนาบุคลากรขององค์กรก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย เพราะในโครงการนี้สะท้อนว่าองค์กรยุค AI ควรมุ่งเน้นการสร้างพนักงานที่เป็น "Bilingual" คือ เก่งทั้งในสายงานของตัวเอง และสามารถใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสายงานด้านอื่นได้ โดยส่วนนี้ Google Cloud ได้จัดหาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ฟรี เช่น Google Skills (3,000 คลาส) และ ChaiyoGCP เพื่อช่วยพัฒนาทักษะแล้ว
ทั้งหมดนี้ต้องทำคู่กับการกำกับดูแลและรักษาความน่าเชื่อถือ โดยองค์กรต้องมีการจัดตั้งการกำกับดูแล (Governance) ที่เข้มงวด และใช้หลักการ Secure AI Framework (SAIF) และ Responsible AI โดยเน้นให้ AI อ้างอิงจากข้อมูลองค์กรที่เชื่อถือได้เท่านั้น (Enterprise Truth) เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นความจริง
นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ประธานและกรรมการบริหาร MFEC สรุปว่าความสำเร็จในการใช้ AI จะต้องอาศัยแรงขับที่มาจากผู้บริหารระดับสูง เช่น CEO และที่ต้องไม่ลืมคือแรงขับเคลื่อนนั้นจะต้องเข้มข้นมากกว่าแรงเฉื่อย และแรงต้านในองค์กร หากองค์กรใดทำได้ AI ทรงพลังในองค์กรจะเกิดขึ้นได้แน่นอน
*** ทุกอย่าง Google มีครบ
โครงการนี้ของ Google Cloud จะสามารถเขย่าตลาด AI ไทยแลนด์ได้เพราะการมีกลยุทธ์ Full-Stack และการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานในไทย
Google Cloud พยายามตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน AI และ Cloud ด้วยการนำเสนอโมเดล Full Stack ซึ่งหมายถึงการให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ที่มีการลงทุนมหาศาลเพื่อสร้าง Data Center ในประเทศไทย รวมถึงการวางเคเบิลใต้ทะเลอย่าง "ทะเลลิงก์" (TalayLink) สำหรับวางสายเคเบิลเชื่อมต่อตั้งแต่ประเทศไทยไปถึงออสเตรเลีย
"การมี Data Center ในประเทศช่วยให้การใช้ AI มีความเร็วสูงขึ้น และเพิ่มความปลอดภัย การลงทุนใน Data Center และการเชื่อมโยงเครือข่ายระดับโลกนี้ ทำให้ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในฐานะหนึ่งในฮับของ AI และ Data Center แห่งภูมิภาค"
ขณะเดียวกัน Google ก็กินรวบทั้งเทคโนโลยี Agentic AI ล้ำสมัย โดยเปิดให้ใช้โมเดลพื้นฐานอย่าง Gemini 3, Nano Banana Pro และ Veo 3.1 บนแพลตฟอร์มรวมศูนย์ Vertex AI โดยเฉพาะ Agentic AI ซึ่งเป็น AI ที่สามารถคิดและตัดสินใจเพื่อทำการกระทำ (Action) บางอย่างได้เอง
ที่ผ่านมา Google Cloud ได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในไทยอย่างชัดเจน ที่เห็นชัดคือการประกาศการลงทุนมูลค่ามหาศาลในประเทศไทยเมื่อประมาณกันยายน 2567 เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ AI ในประเทศด้วยเงินทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในด้าน Data
การลงทุนนี้มีที่มา เพราะ Google Cloud คือธุรกิจที่กำลังช่วยให้บริษัทแม่ของกูเกิลอย่าง Alphabet สามารถชนช้างกับยักษ์ไอทีผู้ให้บริการคลาวด์เจ้าอื่นอย่าง Microsoft Azure และ AWS ได้สูสีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการพัฒนาหน่วยประมวลผลพิเศษที่เพิ่มความเร็วให้ Gemini สามารถฝึกโมเดล AI ให้ลูกค้าระดับองค์กร นั้นทำให้ลูกค้า Cloud เริ่มมอง Google เป็นผู้เล่นรายหลักของตลาด จนล่าสุด รายได้ของ Google Cloud เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 32% แซงหน้าคู่แข่งสวยงาม โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) พุ่งสูงขึ้นจาก 11.3% ในปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 20.7% ในปี 2025 ซึ่งเป็นการเติบโตเกือบเท่าตัว
ตัวเลขล่าสุด ระบุว่า Google Cloud มีจำนวนดีลที่มีมูลค่าเกิน 250 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นเท่าตัว และยอดสัญญาคงค้าง (backlog) ที่รอรับรู้เป็นรายได้ในอนาคตสูงถึง 106,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว
การลงทุนของ Google Cloud ในไทยยังทำผ่านโครงการฝึกอบรม 3 โครงการหลัก ได้แก่ ไชโย GCP (ChaiyoGCP) ที่วางเป้าหมายให้ Technical และนักพัฒนา สามารถใช้ AI ได้อย่างครบทุกขั้นตอน, โครงการออกใบรับรอง (Certificate) จากภาครัฐให้ประชาชนได้เข้ามาเรียนและสอบเพื่อวัดผลว่ามีความรู้ความสามารถด้าน AI มากขึ้น และโครงการ Google Skill แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีประมาณ 3,000 คลาส และประเทศไทยได้รับโอกาสให้ใช้ Google Skill โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการยกระดับทักษะคนไทย
สำหรับโครงการ PanyaThAI นี้ Google ได้ร่วมมือกับพันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาอย่าง Accenture, MFEC, NTT DATA และบริษัทอื่นๆในการรับรองผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Google Cloud ในประเทศเพิ่มเติมอีกหลายร้อยคน ซึ่งจะเป็นขุนพลในด้าน Data Analytics, AI, Cybersecurity, และ Application Modernization เพื่อเสริมศักยภาพในการสนับสนุนโครงการ *PanyaThAI* ต่อไป
ที่สุดแล้ว Google Cloud ย้ำเสมอว่าโครงการปัญญาไท ไม่มี ย ยักษ์ นี้ จะเป็นเสมือนการเปิดสนามฝึกให้กับองค์กรไทยขนาดใหญ่ โดยใช้ความสำเร็จจากองค์กรระดับโลกผนวกกับบริบทท้องถิ่นไทย ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญที่จะส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีระดับโลก
ขณะเดียวกันก็เป็นแรงเขย่าหัวใจมนุษย์งานไทยทั้งประเทศ ให้ต้องปรับตัว และรักษาตัวอยู่รอดให้ได้ในยุคที่การทำงานไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป.


