การ์มิน (Garmin) เจ้าพ่อ GPS และอุปกรณ์สวมใส่สัญชาติอเมริกัน ประกาศขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยเลือกจังหวัดชลบุรีเป็นที่ตั้งของโรงงานแห่งแรกในประเทศ
การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รองรับความต้องการของตลาดโลกที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2569 (2026)
***ไทยเป็น "ศูนย์กลางระดับสากล"
นางสาวมิสซี่ ยาง ผู้จัดการประจำ การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่าการขยายฐานการผลิตนี้ถือเป็นเส้นทางใหม่ของ Garmin ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งตอกย้ำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางระดับสากล (International Hub) สำหรับการดำเนินงานระดับโลกของ Garmin
สาเหตุหลักที่เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนั้น เนื่องจากมองเห็นว่าประเทศไทยมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ที่สามารถเชื่อมโยงหรือเชื่อมต่อไปยังเอเชียและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้โดยง่าย การขยายศักยภาพด้านการดำเนินงานในระดับโลกเช่นนี้ จะช่วยให้ธุรกิจของ Garmin เติบโตอย่างแข็งแกร่งและตอบสนองความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น
สรุป 4 รายละเอียดและลักษณะเฉพาะของโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดชลบุรี ประกอบด้วย
1. สถานที่ตั้ง: จังหวัดชลบุรี
2. ขนาด: เป็นอาคารสูง 4 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่รวมประมาณ 23 ไร่
3. มาตรฐาน: โรงงานแห่งนี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 50001 พร้อมทั้งมีการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืน
4. กำหนดการ: มีแผนที่จะเริ่มดำเนินการผลิต ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2569
ปัจจุบัน Garmin มีฐานการผลิตรวม 11 แห่งทั่วโลก (รวมถึงโปแลนด์, เนเธอร์แลนด์, และไต้หวัน) โดยโรงงานแห่งใหม่ในชลบุรีนี้จะสามารถรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ Garmin ได้ทุกประเภท ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม ในช่วงเฟสแรกของการดำเนินงาน มีการยืนยันว่าจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ (Automotive OEM)
Garmin ชี้ว่าการตัดสินใจตั้งโรงงานครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเล็งเห็นว่าตลาดยานยนต์เป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับโลกและในภูมิภาคเอเชีย ปัจจุบัน บริษัทมีทีมงาน Automotive OEM โดยเฉพาะที่ดูแลตลาดในเอเชีย และมี Global Partner ในส่วนนี้ด้วย
แม้สินค้าที่ผลิตจากโรงงานในไทยจะถูกส่งออกไปทั่วโลก แต่สำหรับผู้บริโภคชาวไทย การมีโรงงานในประเทศถือเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้สามารถได้รับสินค้าของ Garmin ในระยะเวลาการส่งมอบที่สั้นที่สุด
***ตลาดไทยเติบโตแข็งแกร่ง เหมือน "นักเรียนดีเด่น"
การประกาศขยายฐานการผลิตมายังไทยเกิดขึ้นในช่วงที่ Garmin มีผลประกอบการที่น่าพอใจ โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (2025)
ในระดับโลก Garmin มีรายได้รวม 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโต 16%
สำหรับประเทศไทย Garmin Thailand เติบโตขึ้นถึง 35% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดไทยมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในระดับโลก
"แม้ว่าอัตราการเติบโต 35% จะไม่ใช่ตัวเลขที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกประเทศทั่วโลก เนื่องจากแต่ละตลาดมีภาวะและขนาดที่แตกต่างกัน แต่ประเทศไทยก็ถูกจัดให้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็น"นักเรียนดีเด่น"ในเครือ Garmin" ผู้บริหาร Garmin กล่าวทิ้งท้าย
จากรายงานทางการเงินในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 ธุรกิจของ Garmin ยังคงกระจายตัวใน 5 หมวดหลัก โดยหมวด Fitness มีสัดส่วนสูงสุดที่ 30% ตามมาด้วยหมวด Outdoor ที่ 27% ส่วนที่เหลือคือ Marine (ทางทะเล) 19%, Aviation (การบิน) 14%, และ Automotive (ยานยนต์) 10% จุดนี้พบว่า Garmin มองเห็นโอกาสการเติบโตในตลาด Automotive OEM ทั้งในเอเชียและทั่วโลก โดยยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ Automotive OEM จะเป็นกลุ่มสินค้าแรกที่จะเริ่มผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ในชลบุรี
ในด้านการขยายระบบนิเวศ (Ecosystem) บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของมายแล็บส์ (My laps) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านระบบจัดการแข่งขันกีฬา เพื่อให้บริการเทคโนโลยีติดตามสมรรถนะและการจัดการแข่งขันขั้นสูง การเข้าซื้อครั้งนี้ช่วยเสริมให้ Garmin สามารถมอบข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำยิ่งขึ้นให้กับนักกีฬาและผู้ใช้งานทั่วไป
ปีนี้ Garmin วาง 3 เสาหลักด้านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เด่นปี 2025 ได้แก่ การให้คำแนะนำด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ , การฝึกทางด้านกีฬา, และการเสริมสร้างความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่สมดุล ปลอดภัย และกระฉับกระเฉง โดยผลิตภัณฑ์ที่สร้างการเติบโตแข็งแกร่งทั้งในไทยและระดับโลกในปี 2025 ได้แก่ สมาร์ทวอตช์ Forerunner 570 และ 970 รวมถึงซีรีส์ Instinct ในหมวด Outdoor นอกจากนี้ รุ่น Venu 3 และ Venu 4 ก็จัดเป็นผลิตภัณฑ์ฮีโร่ในกลุ่ม Wellness โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดไทย Garmin ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงลึก เช่น Sleep Alignment และ Lifestyle Logging (ซึ่งจะเปิดตัวใน Venu 4)
บริษัทยังคงรักษาจุดแข็งในการเป็นแบรนด์ที่เริ่มต้นจากตลาดเฉพาะทาง เช่น นักวิ่งและนักปั่น โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอตช์ที่ครอบคลุมหลากหลายราคา ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น (ประมาณ 5,000 บาท) ไปจนถึงระดับพรีเมียม (30,000-40,000 บาท) เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน.


