ผ่าทางรอดกรณีดราม่าภาพตัดต่อในแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของกรุงเทพมหานคร ที่สะท้อนการใช้ AI ในทางที่ผิดของเจ้าหน้าที่รัฐฯ โดยล่าสุด กทม. พยายามแก้ไขเพื่อสร้างความโปร่งใสในระบบดิจิทัลของเมือง ด้วยการเตรียมจับมือกับ สวทช. เพื่อพัฒนาระบบ AI ใหม่ สำหรับตรวจจับภาพปลอมทั้งจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ บนความหวังว่าระบบนี้จะช่วยคัดกรองและระงับภาพที่ถูกตัดต่อได้ทันที เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะนี้ในอนาคต
ความน่าสนใจของประเด็นนี้คือ แผนการปั้นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ร่วมกับ สวทช. หรือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ แสดงถึงความพยายามของ กทม. ในการยกระดับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ (smart city) ปิดประตูคาใจของใครที่อาจตั้งคำถามว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ใช้ AI ตัดต่อภาพหลอกประชาชนอีก แล้วประชาชนจะไว้ใจระบบนี้ได้แค่ไหน? เนื่องจากการใช้ AI ในลักษณะนี้นั้นง่ายแสนง่าย และมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำก็ได้ใครจะรู้
***ตัดต่อภาพ Traffy Fondue
ดราม่าภาพตัดต่อใน Traffy Fondue ถูกพูดถึงในช่วงวันศุกร์ที่ 18 ก.ค. 68 เมื่อเพจ “ฟุตบาทไทยสไตล์” ออกมาแฉกรณีที่เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร หรือ กทม. ใช้ภาพตัดต่อเพื่อปิดเรื่องร้องเรียนในแอป Traffy Fondue
เรื่องนี้เริ่มจากประชาชนร้องเรียนเรื่องรถจักรยานยนต์จอดขวางทางเท้าในซอยจรัญสนิทวงศ์ 77/1 เขตบางพลัด แต่แทนที่เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่แก้ไขจริง กลับใช้ AI ลบภาพรถจักรยานยนต์ทุกคันในภาพออก แล้วส่งภาพตัดต่อกลับไปบอกว่า “แก้ไขเสร็จแล้ว”
ภาพตัดต่อนี้เป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียทันที เพราะมันไม่ใช่แค่การหลอกประชาชน แต่ยังสะท้อนปัญหาการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด จนทำลายความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเมือง
Traffy Fondue นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดย กทม. เป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ให้ประชาชนแจ้งปัญหาในเมือง เช่น ทางเท้าเสีย ขยะล้น หรือรถจอดขวาง แล้วเจ้าหน้าที่จะรับเรื่องไปแก้ไขและรายงานผลกลับมา ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา Traffy Fondue ได้รับการตอบรับดีมาก ช่วยแก้ปัญหาไปแล้วกว่า 1 ล้านเรื่อง และมีอัตราความพึงพอใจสูงถึง 80% ถือเป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในเมือง
แต่กรณีนี้กลับทำให้คนตั้งคำถามว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ใช้ AI ตัดต่อภาพหลอกประชาชน แล้วเราจะไว้ใจระบบนี้ได้แค่ไหน? และที่สำคัญ การใช้ AI ในลักษณะนี้มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำได้หรือไม่? การตอบสนองของ กทม. จึงออกมาในรูปของการลงโทษและป้องกัน
*** ช่องโหว่ vs โทษหนัก
กทม. ไม่นิ่งนอนใจและออกมาชี้แจงทันทีว่าเจ้าหน้าที่เขตบางพลัดทำผิดจริง โดยใช้ AI ตัดต่อภาพเพื่อปิดเรื่องร้องเรียน ตอนนี้เจ้าหน้าที่คนนั้นถูกลงโทษทางวินัยแล้ว และ กทม. สั่งการให้เขตบางพลัดแก้ไขปัญหารถจอดขวางทางเท้าจริง ๆ พร้อมออกหนังสือเวียนถึงทุกเขตทั่วกรุงเทพฯ ห้ามใช้ภาพปลอมหรือข้อมูลเท็จในการปิดเรื่องร้องเรียนเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนจะถูกลงโทษหนัก
ในอีกด้าน กทม. ระบุว่าได้จับมือกับ สวทช. เพื่อพัฒนาระบบ AI ใหม่ สำหรับตรวจจับภาพปลอมทั้งจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ ระบบนี้จะช่วยคัดกรองและระงับภาพที่ถูกตัดต่อได้ทันที เพื่อป้องกันปัญหาแบบนี้ในอนาคต
การใช้ AI ลบรถจักรยานยนต์ออกจากภาพ อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้วได้บั่นทอนความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบดิจิทัลของเมือง สิ่งที่เราต้องถามคือ ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงเลือกวิธีนี้? เป็นเพราะแรงกดดันให้ปิดเรื่องร้องเรียนเร็ว ๆ หรือเพราะขาดความเข้าใจในจริยธรรมการใช้เทคโนโลยี?
และที่สำคัญ ระบบ Traffy Fondue เองมีช่องโหว่ตรงไหน ที่ทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าสามารถทำแบบนี้ได้โดยไม่มีใครจับได้? และการที่ กทม. ร่วมมือกับ สวทช. เพื่อพัฒนาระบบตรวจจับภาพปลอม เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจริงหรือ?
ไม่ว่าอย่างไร ดราม่าที่เกิดขึ้นย่อมนำไปสู่การขยายผลมากมาย ทั้งโครงการอบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม หรือการออกแบบแพลตฟอร์มให้มีการตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มงวดกว่านี้ เช่น อาจใช้การตรวจสอบ metadata ของภาพ หรือข้อมูลเวลา timestamp เพื่อยืนยันความถูกต้องของภาพต่อไป เรียกว่าจะมีการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก AI เอง
ที่สุดแล้ว กรณีนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกเมืองที่กำลังพัฒนา smart city เนื่องจากเทคโนโลยีอย่าง AI หรือแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ได้มีแค่ด้านดี แต่ต้องมาพร้อมกับการกำกับดูแลและจริยธรรมในการใช้งาน และการที่ กทม. ออกมาขอโทษและขอบคุณเพจ “ฟุตบาทไทยสไตล์” ที่ช่วยเป็นกระบอกเสียง ก็แสดงถึงความพร้อมที่จะรับฟังและแก้ไข ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี
แต่ในระยะยาว ยังต้องดูว่าประชาชนจะยังคงไว้วางใจและกล้าใช้ Traffy Fondue ต่อไปหรือไม่ ทางรอดของ Traffy Fondue จึงขึ้นอยู่กับการบ้านชิ้นใหญ่อย่างการสร้างความโปร่งใส ทั้งการเปิดเผยข้อมูลการแก้ไขปัญหา หรือการให้ประชาชนตรวจสอบสถานะได้แบบเรียลไทม์ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการเรียกคืนความเชื่อมั่นต่อไป.