ผบ.ตร. ลั่นไม่ปกป้องใคร! เร่งสอบคลิปเสียงฉาวอดีต "ผู้การนครศรีฯ" ย้ำชัดผิดก็ว่าไปตามผิด ฟันวินัย-อาญาไม่ละเว้น สั่งจเรตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ ตรวจละเอียดทุกพยานหลักฐาน ยันไม่ล่าช้า
วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงคลิปเสียงสนทนาที่พาดพิงถึงการเรียกรับผลประโยชน์หลังมีคำสั่งย้ายพล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ นุ่นเกลี้ยง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ว่า การดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ล่าช้า และยังอยู่ในกรอบเวลาตามขั้นตอน พร้อมกำชับให้ตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีพล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ออกมาเปิดเผยว่าถูกขบวนการดิสเครดิตกล่าวหาว่าใช้เงิน 30 ล้านซื้อตำแหน่งนั้น ยืนยันว่าตนเองในฐานะผู้บังคับบัญชามีความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดและผู้ถูกร้องเรียนย่อมมีสิทธิชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงความบริสุทธิ์ใจตามกระบวนการ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อไปว่า ตนได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติ ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่แล้ว แม้ผู้บังคับการจะยอมรับว่าเสียงในคลิปเป็นเสียงของตนเอง แต่สาระของบทสนทนาที่มีถ้อยคำลักษณะ “กูไม่ได้ มึงก็ไม่ได้ หรือระนาดกันหมด” จำเป็นต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่า เป็นการพูดคุยในเชิงการมอบนโยบาย การกำชับการทำงาน หรือเข้าข่ายการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งต้องตรวจสอบให้ชัดเจนจากพยานหลักฐานทั้งหมด ไม่สามารถตัดสินจากคลิปเสียงเพียงส่วนเดียวได้
“ในฐานะผู้บังคับบัญชา หากจะดำเนินการใด ๆ ต้องครบถ้วน รอบคอบ และอยู่บนพยานหลักฐาน เมื่อผลสอบออกมาชัดเจน หากพบว่ามีความผิดจริง ก็พร้อมดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญา ยืนยันว่าจะไม่เข้าข้างใครเด็ดขาด” ผบ.ตร.ระบุ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำซ้อนในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 8 หลังจากก่อนหน้านี้มีกรณีมีกระแสข่าวซื้อขายตำแหน่ง และขณะนี้กลับมีประเด็นเรียกรับผลประโยชน์เข้ามาอีก โดยระบุว่า เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของผู้บังคับบัญชาระดับสูงในพื้นที่ ซึ่งมีผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นผู้กำกับดูแล และต้องเร่งรัดการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่เกิดความคลางแคลงใจในสังคม เรื่องนี้ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ต้องให้ความเป็นธรรม ทุกอย่างต้องยึดข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ไม่มีเรื่องต้องกังวล ไม่มีการปกป้องผู้ใดทั้งสิ้น


