รุ่งอรุณอันเงียบสงบและการเริ่มต้น เช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2543 ณ เนินเขาจระเข้ บ้านห้วยสุด จ.ราชบุรี ที่ติดชายแดนไทย-พม่า นายพินิจ อย่างคง โชเฟอร์รถบัสสาย 18 เริ่มต้นหน้าที่ของเขาอย่างเช่นทุกวัน รถโดยสารคันสีฟ้าขาวแล่นไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย เวลาประมาณ 07:00 น. นายพินิจจอดรถตามปกติเมื่อมีชายฉกรรจ์สองคนโบกรถ ทว่าวินาทีที่ประตูรถเปิดออก ความสงบก็มลายสิ้น ชายคนหนึ่งถืออาวุธปืนจ่อเข้าที่ศีรษะของนายพินิจอย่างรวดเร็ว พร้อมสัญญาณมือที่ถูกส่งไปยังชายอีก 8 คนที่ซุ่มรออยู่ในป่าข้างทาง
นี่คือจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการอุกอาจที่สั่นสะเทือนประเทศไทย ชายทั้ง 10 คน คือกองกำลังที่รู้จักกันในชื่อ "ก๊อดส์ อาร์มี่" (God Army) พวกเขาเป็นกลุ่มนักรบกะเหรี่ยงและนักศึกษาพม่าหัวรุนแรงที่ต้องการเรียกร้องความช่วยเหลือให้เพื่อนร่วมชาติที่กำลังถูกกองทัพพม่าโจมตี โดยมีผู้นำหน่วยภาคสนามในภารกิจนี้คือชายที่ถูกเรียกว่า "ปรีดา" (Beda) หรือ "หนุ่ย" ซึ่งมีความสามารถในการสื่อสารภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว รถบัสถูกสั่งให้ขับฝ่าด่านตรวจเข้าไปยังใจกลาง โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี พวกเขาทราบดีว่านี่คือสถานที่ที่เปราะบางที่สุด เต็มไปด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์นับร้อย
เมื่อรถบัสหยุดสนิทหน้าตึกอำนวยการ โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรีก็กลายเป็นสมรภูมิ กลุ่มนักรบทั้ง 10 คน สวมชุดลายพลาง พร้อมอาวุธสงครามครบมือ ทั้ง M16, M79 และปืนอาก้า บุกเข้ายึดพื้นที่อย่างรวดเร็ว พวกเขาแบ่งกำลังเป็นสามส่วน ควบคุมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, วางระเบิดตามจุดต่าง ๆ รอบอาคาร, และกลุ่มหลักที่นำโดย ปรีดา ทำการกวาดต้อนบุคลากรทางการแพทย์ แพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย และญาติที่มาเยี่ยมกว่า 200 คน ให้ไปรวมตัวกันที่บริเวณชั้น 2 ของตึกอำนวยการเพื่อใช้เป็น "โล่มนุษย์" (ภายหลังมีตัวประกันเพิ่มขึ้นรวมกว่า 780 คน)
การก่อเหตุอุกอาจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์บุกยึดสถานทูตพม่าเพียง 3 เดือน ทำให้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญอีกครั้ง
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการแก้ไขสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ "ตัวประกันทุกคนต้องปลอดภัย และเกิดความสูญเสียให้น้อยที่สุด"
ปรีดา และกลุ่มได้ยื่นข้อเรียกร้องที่แสดงถึงเจตนาที่แท้จริง
1. ขอให้รัฐบาลไทย หยุดยิงปืนคอ 120 มม. ใส่ค่ายอพยพกะเหรี่ยง
2. ขอให้ไทย หยุดช่วยเหลือทหารพม่า ในการสู้รบ
3. ขอให้ไทย เปิดชายแดนเสรี เพื่อให้กองกำลังกะเหรี่ยงที่บาดเจ็บมีที่พักพิง และนำทีมแพทย์ไปรักษาพรรคพวกของตน
สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกองกำลังพิเศษของไทย ทั้ง หน่วยนเรศวร 261 และ หน่วยอรินทราช 26 ถูกเรียกเข้าพื้นที่เพื่อตรึงกำลังรอบโรงพยาบาล การเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะกลุ่มผู้ก่อเหตุได้วางกับระเบิดอย่างหนาแน่นรอบบริเวณ
ในช่วงหัวค่ำ การเจรจายิ่งตึงเครียด เมื่อข่าวได้เผยแพร่คำพูดของ นาวาตรี ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์อย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ผ่อนปรนกับผู้ก่อการร้าย มีรายงานจากตัวประกันว่าเมื่อ ปรีดา ได้ยินข่าวนี้ผ่านทีวี เขาก็ถึงกับ น้ำตาคลอ และกล่าวว่า "คราวนี้เห็นทีจะไม่รอดเสียแล้ว" (อ้างอิงตามบันทึกคำบอกเล่า) พร้อมกับเริ่มแสดงอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ทีมปฏิบัติการตัดสินใจว่าการประนีประนอมเหมือนครั้งยึดสถานทูตจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะจะทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าเป็น "เป้าหมายที่ยอมง่าย" และด้วยสภาพตัวประกันส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาเร่งด่วน การรอคอยจึงเป็นทางเลือกที่ยอมรับไม่ได้
ตลอดทั้งคืน เจ้าหน้าที่สายสืบได้แฝงตัวเข้าไปในพื้นที่เพื่อส่งเสบียงและข้อมูล โดยได้แผนผังอาคารและจุดอ่อนต่าง ๆ มาอย่างละเอียด ขณะเดียวกันกลุ่ม ก๊อดส์ อาร์มี่ เริ่มอ่อนล้าจากการพักผ่อนน้อยและตึงเครียด ปรีดา ได้แจ้งยุติการเจรจาชั่วคราวเพื่อขอพักผ่อน โดยนัดเจรจากันใหม่ในวันรุ่งขึ้น
นี่คือจังหวะที่ผู้บัญชาการรอคอย เวลา 05.30 น. (ตี 5 ครึ่ง) ของวันที่ 25 มกราคม 2543 ขณะที่ทุกคนกำลังเหนื่อยล้าและคาดไม่ถึง เสียงระเบิดและเสียงปืนก็ดังขึ้น ปฏิบัติการจู่โจมชิงตัวประกันโดยกำลังผสมของหน่วยรบพิเศษได้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด การเข้าจู่โจมเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เจ้าหน้าที่กวาดล้างพื้นที่ทีละจุดอย่างเป็นระบบ การต่อสู้กินเวลาไม่นาน
ในเวลา 06.15 น. ผู้ก่อเหตุคนที่สิบซึ่งพยายามปลอมตัวเป็นผู้ป่วยติดเตียงและใช้ผ้าห่มคลุมตัวเพื่อหลบหนี ถูกตรวจพบและถูกวิสามัญฆาตกรรมในที่สุด ผลของปฏิบัติการในครั้งนี้คือ ผู้ก่อเหตุถูกสังหารทั้งหมด 10 คน เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 8 นาย ไม่มีพลเรือนหรือตัวประกันเสียชีวิตหรือบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว
การตอบโต้อย่างเด็ดขาดของไทยครั้งนี้ถูกส่งเป็นสัญญาณเตือนไปถึงกองกำลังติดอาวุธตามแนวชายแดนว่ารัฐบาลไทยจะไม่ประนีประนอมอีกต่อไป เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อขวัญและกำลังใจของ ก๊อดส์ อาร์มี่ เพราะเป็นการสูญเสียกำลังรบสำคัญ
กลุ่มนี้มีผู้นำทางจิตวิญญาณคือสองพี่น้องฝาแฝดชาวกะเหรี่ยงวัยเยาว์ คือ ลูเธอร์ ทู (Luther Htoo) และ จอห์นนี่ ทู (Johnny Htoo) ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น "แฝดลิ้นดำ" ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ในการนำทัพ
หลังจากเหตุการณ์บุกโรงพยาบาลไม่นาน กลุ่ม ก๊อดส์ อาร์มี่ ก็ถูกปราบปรามอย่างหนักจากกองทัพพม่า จนในที่สุด วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2544 เพียงไม่ถึงหนึ่งปีหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ลูเธอร์ ทู และ จอห์นนี่ ทู พร้อมลูกน้องจำนวนหนึ่ง ก็ตัดสินใจเข้ามอบตัวต่อทางการไทย เพื่อปิดฉากกองกำลัง ก๊อดส์ อาร์มี่ อย่างเป็นทางการ และถูกส่งตัวไปอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวในเวลาต่อมา


