xs
xsm
sm
md
lg

"เมธา มาสขาว" เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ-ครป. พร้อมเครือข่ายแรงงาน เรียกร้องรัฐและทุนยุติคดีฟ้องปิดปากประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



"เมธา มาสขาว" เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ-ครป. พร้อมเครือข่ายแรงงาน นักวิชาการ และกสม. ผนึกกำลังเรียกร้องรัฐและทุนยุติคดีฟ้องปิดปากประชาชน ชี้เป็นภัยคุกคามสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย


วันนี้ 6 ธ.ค.2568 ที่ห้องสีดา โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ร่วมกับสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดเวทีสาธารณะในหัวข้อ “การฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” เนื่องในสัปดาห์วันสิทธิมนุษยชนสากล โดยมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ รศ.ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) นางศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) นายมานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และนายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการ ครป.
ดำเนินรายการโดย สุปัน รักเชื้อ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

โดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน สสรท. กล่าวว่า สถานการณ์คดีปิดปากกำลังแพร่กระจายทั่วประเทศ และส่งผลต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรหรือเรียกร้องความโปร่งใส

นายสาวิทย์ ระบุว่า ปัจจุบันทุนผูกขาด–กลุ่มอำนาจ–นักการเมือง ทำงานร่วมกันอย่างแนบแน่น จนประชาชนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือทัดทานโครงการต่าง ๆ ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหลักร้อยล้านบาท เพื่อข่มขู่ให้เงียบเสียง คดีปิดปากมักใช้เพื่อ ระงับการต่อรองและทำลายขวัญกำลังใจของผู้นำแรงงาน โดยเฉพาะในรัฐวิสาหกิจที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาล การออกมาตรวจสอบสัญญาผูกขาด หรือการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส มักถูกตอบโต้ด้วยการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่สูงเกินจริง รัฐต้องมีกลไกปกป้องนักปกป้องสิทธิให้ชัดเจนกว่าเดิม และต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องกลัวถูกฟ้องปิดปาก

"ประเทศไทยบอกว่ามีประชาธิปไตย แต่ประชาชนกลับถูกฟ้องปิดปากเพียงเพราะปกป้องประโยชน์สาธารณะ นี่คือความอยุติธรรมที่กำลังกัดกินสิทธิมนุษยชนไทย”

ด้านนายสุปัน ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่าสถานการณ์ SLAPP ในไทยลุกลามกว้างไกลกว่าที่สังคมเห็น ปัจจุบันมีนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังขยายไปถึงสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในรายการก็ยังโดนฟ้องคดีปิดปาก มีเพื่อนร่วมอาชีพนักข่าวถูกฟ้องอยู่ 3 ราย และหลายคดีก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือปิดกั้นข้อมูลที่สังคมควรรับรู้

สุปันย้ำว่า SLAPP ไม่ใช่ “คดีปกติที่ต้องไปสู้ในศาล” แต่คือการใช้อำนาจทางกฎหมายเพื่อปิดพื้นที่ตรวจสอบของสังคม ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขในระดับโครงสร้าง

ขณะที่รศ.ดร.คนึงนิจ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แก่นของปัญหา SLAPP คือกฎหมายไทยจำนวนมากถูกออกแบบมาโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของสิทธิเสรีภาพประชาชน ทำให้เครื่องมือทางกฎหมาย เช่น คดีหมิ่นประมาท พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คดีแพ่งเรียกค่าเสียหายมหาศาล ถูกนำมาใช้เพื่อทำลายความสามารถของประชาชนในการตรวจสอบอำนาจ

“ประเทศไทยขาดกลไกคัดกรองคดีปิดปากอย่างสิ้นเชิง จึงปล่อยให้คดีที่มีเจตนากลั่นแกล้งเข้าสู่ศาลโดยไม่จำเป็น” เขาเสนอให้เพิ่มอำนาจศาลในการยกฟ้องคดีที่มีลักษณะ SLAPP ตั้งแต่ชั้นต้น เพื่อประหยัดเวลาและต้นทุนของผู้ถูกฟ้อง และให้รัฐจัดทำกฎหมายป้องกัน SLAPP แบบที่ประเทศประชาธิปไตยพัฒนาแล้วใช้กัน และเน้นย้ำว่า แม้ในทางกฎหมายไทยจะมีความพยายามในการป้องกันคดี SLAPP อยู่บ้าง แต่ยังคงมีช่องโหว่ใหญ่ที่ทำให้ทุนและรัฐสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่ประชาชนได้ง่าย
การใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา เป็นเครื่องมือสำคัญในการปิดปาก เนื่องจากภาระในการต่อสู้คดีและโทษทางอาญาที่รุนแรงทำให้ประชาชนหรือนักปกป้องสิทธิหวาดกลัวและเลือกที่จะยอมความหรือหยุดการเคลื่อนไหวไปเอง

นายมานพ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวว่าสถานการณ์คดีฟ้องปิดปากไม่ได้เกิดเฉพาะกับนักกิจกรรมหรือสื่อนอกภาครัฐ แต่เกิดขึ้นในหน่วยงานของรัฐเองด้วย เจ้าหน้าที่จำนวนมากถูกฟ้องเพราะปฏิเสธไม่ลงนามในเอกสารที่เห็นว่ามีความผิดปกติ

“ระบบตรวจสอบภายในรัฐกำลังถูกทำให้ล้มเหลว เพราะเจ้าหน้าที่กลัวถูกฟ้องถ้าพูดความจริง” เขาเสนอให้รัฐจัดทำมาตรการคุ้มครอง whistleblower อย่างเป็นระบบ เนื่องจากการเปิดโปงทุจริตคือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสร้างความโปร่งใส

ตัวแทนจากภาคแรงงานได้ฉายภาพผลกระทบของคดี SLAPP ที่พุ่งเป้าไปที่ผู้นำแรงงานและพนักงานที่ออกมาเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในองค์กรของรัฐ เขาเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองพิเศษสำหรับ นักต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงานและผลประโยชน์ของรัฐ ที่ถูกฟ้องร้องจากนายจ้างหรือคู่สัญญาของรัฐ เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคมได้โดยไม่ต้องกลัวการสูญเสียอิสรภาพหรือทรัพย์สิน

● ดร.มานะ นิมิตรมงคล: “SLAPP คือการคอร์รัปชันรูปแบบใหม่—ซ่อนข้อมูลด้วยการฟ้อง”

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การฟ้อง SLAPP ไม่ใช่เพียงการฟ้องคดีปิดปาก แต่คือการคอร์รัปชันเชิงโครงสร้าง ที่ผู้มีอำนาจใช้การฟ้องร้องเพื่อซ่อนข้อมูลการใช้งบประมาณและผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจถูกเปิดโปง

“ถ้าคุณตรวจสอบรัฐ คุณต้องเตรียมใจว่าจะถูกฟ้อง นี่คือบรรยากาศที่อันตรายต่อประชาธิปไตยอย่างที่สุด” เขาเสนอให้ปฏิรูปกฎหมายหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่างเร่งด่วน รวมถึงสร้างระบบคัดกรองคดีปิดปากเชิงรุกในชั้นพนักงานสอบสวนและอัยการ และชี้ให้เห็นว่า คดี SLAPP มักถูกใช้คู่ขนานไปกับการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ หรือการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่สมคบกับภาครัฐ

การฟ้องปิดปากคือ เกราะป้องกันการตรวจสอบ ที่สำคัญที่สุดของกลุ่มผู้มีอำนาจ เมื่อมีประชาชนหรือพลเมืองดีออกมาเปิดโปงข้อมูลการทุจริต หรือความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง โจทก์จะใช้คดีความที่มีค่าใช้จ่ายสูงและยาวนานเป็นเครื่องมือในการ "ทำให้ผู้ตรวจสอบเหนื่อยจนหยุดไปเอง" โดยที่ศาลยังไม่ได้พิจารณาเนื้อหาของการทุจริตเลย

ข้อเสนอแนะ: หน่วยงานรัฐ (เช่น ป.ป.ช.) และองค์กรอิสระต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblowers) ที่แท้จริง และต้องมีการบัญญัติกฎหมาย Anti-SLAPP ที่มีกลไกชัดเจนในการ ยุติคดีโดยเร็ว ในชั้นพิจารณาเบื้องต้นเมื่อพบว่าคดีนั้นเป็นการฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือธุรกิจ

● ศยามล ไกยูรวงศ์: “ชาวบ้านแพ้ตั้งแต่เริ่ม เพราะกฎหมายไม่เข้าใจธรรมชาติของการเคลื่อนไหว”

กรรมการ กสม. ศยามล ไกยูรวงศ์ กล่าวถึงงานภาคสนามว่า ชาวบ้านที่ปกป้องทรัพยากรหรือสิทธิของชุมชนมักถูกฟ้องคดีปิดปากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับที่ดินและโครงการลงทุนของกลุ่มทุน

“ชาวบ้านจำนวนมากไม่ได้กลัวการต่อสู้ แต่กลัวต้นทุนทางกฎหมายที่ไม่เคยเป็นธรรมกับพวกเขาเลย” ศยามลเสนอให้จัดทำแนวปฏิบัติกลางของตำรวจ อัยการ และศาล เพื่อประเมินลักษณะ SLAPP อย่างเป็นระบบ ลดการตีความที่ไม่ตรงกันในแต่ละพื้นที่ และปกป้องสิทธิของผู้ถูกฟ้องให้มากขึ้น
เป็นหน้าที่โดยตรงของ กสม. โดยการปกป้องสิทธิที่ถูกละเมิด โดยเฉพาะสิทธิในการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็น การฟ้องคดี SLAPP เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง ตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี เนื่องจากมันก่อให้เกิด ผลกระทบทางจิตวิทยา (Chilling Effect) ที่ทำให้ประชาชนคนอื่น ๆ เกรงกลัวที่จะออกมาพูดความจริง ทำให้การตรวจสอบสังคมชะงักงัน

กรรมการสิทธิฯ พร้อมที่จะใช้กลไกในการตรวจสอบและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขต่อรัฐบาล รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและสนับสนุนการเยียวยาแก่ผู้ที่ถูกฟ้องคดีปิดปาก

● เมธา มาสขาว: “การฟ้องปิดปาก เป็นเครื่องมือของรัฐและทุนในการคุกคามประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อประโยชน์สาธารณะ จี้รัฐปกป้อง HRD”

นายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า การฟ้องปิดปาก หรือ SLAPP คือ การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้อเท็จจริง แต่หมายถึง คดีความที่มีเป้าหมายเพื่อข่มขู่กดดันให้คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงออก ตัดสินใจเลิกแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อผู้ฟ้องคดี

เขากล่าวว่าการฟ้องปิดปากกำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ทางสังคม ที่กำลังคุกคามผู้ที่ทำหน้าที่ส่งเสียงเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะในหลายเหตุการณ์จากกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ เช่น กรณีของ มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) และวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ที่ถูกบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ฟ้องร้องจากการเผยแพร่ข้อมูลการระบาดของปลาหมอคางดำ, การฟ้องร้อง ศ.ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค โดยบริษัททรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัดโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกสองปี แม้คดีกำลังดำเนินการในขั้นศาลอุทธรณ์ แต่คำตัดสินดังกล่าวก่อให้เกิดการใช้เกียร์ว่างต่อการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และกรรมการในองค์กรอิสระ เมื่อมีการพิจารณากรณีที่มีผลประโยชน์เอกชนเกี่ยวข้อง, กรณี สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ผู้เขียนบทความและแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และธรรมาภิบาล ถูกบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน และคดีตัวอย่างอีกหลายกรณี

นอกจากนี้ยังมีคดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) โดยบริษัทเอกชน ตั้งแต่นายทุนผูกขาด บริษัทเอกชน กลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ฟ้องต่อการทำหน้าที่ของนักวิชาการ และชาวบ้าน เพียงเพราะพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์บริษัทหรือลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิชุมชนในพื้นที่โครงการ ลามไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนไม่น้อยที่ฟ้องผู้บริโภค นอกจากนี้ยังลามไปถึงผู้มีอำนาจ รัฐมนตรี นักการเมือง ยังฟ้องปิดปากประชาชน สื่อมวลชน กระทั่งนักการเมืองฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นมาตรวจสอบในรัฐสภา เพื่อเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ตรวจสอบ

คดี SLAPP ไม่ใช่แค่ปัญหาทางกฎหมาย แต่เป็นปัญหาโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ทุนผูกขาดและกลุ่มผู้มีอำนาจใช้ควบคุมการเมืองและสังคม เครือข่ายจึงต้องเรียกร้องผลักดันให้การแก้ไขกฎหมาย Anti-SLAPP และการคุ้มครองปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defender) เป็นวาระแห่งชาติ

● 4 เครือข่ายองค์กรประชาชน แถลงเรียกร้อง รัฐบาลต้องหยุดขบวนการการฟ้องปิดปาก (SLAPP) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชน"

ช่วงท้ายเวทีสาธารณะ เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย(สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) ร่วมออกแถลงการณ์ "รัฐบาลต้องหยุดขบวนการการฟ้องปิดปาก (SLAPP) เพื่อปกป้อง
ผลประโยชน์ชาติและประชาชน" โดยมีรายละเอียดดังนี้

นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) ได้อ่านแถลงการณ์ว่า “การฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP (ย่อมาจาก Strategic Lawsuit Against Public Participation แปลว่า การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ) ไม่เกี่ยวอะไรกับ “ข้อเท็จจริง” แต่หมายถึง คดีความที่มีเป้าหมายเพื่อข่มขู่กดดันให้คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงออก ตัดสินใจเลิกแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อผู้ฟ้องคดี

การฟ้องปิดปากกำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ทางสังคม ที่กำลังคุกคามผู้ที่ทำหน้าที่ส่งเสียงเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะในหลายเหตุการณ์จากกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ เช่น กรณีของ มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) และวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ที่ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร ฟ้องร้องจากการเผยแพร่ข้อมูลการระบาดของปลาหมอคางดำ, การฟ้องร้อง ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค โดย บริษัท ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกสองปี แม้คดีกำลังดำเนินการในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่คำตัดสินดังกล่าวก่อให้เกิดการใช้เกียร์ว่างต่อการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และกรรมการในองค์กรอิสระ เมื่อมีการพิจารณากรณีที่มีผลประโยชน์เอกชนเกี่ยวข้อง, กรณี สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ผู้เขียนบทความและแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และธรรมาภิบาล ถูก บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน และคดีตัวอย่างอีกหลายกรณี

นอกจากนี้ยังมีคดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) โดยบริษัทเอกชน ตั้งแต่นายทุนผูกขาด บริษัทเอกชน กลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ฟ้องต่อการทำหน้าที่ของนักวิชาการ และชาวบ้าน เพียงเพราะพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์บริษัทหรือลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิชุมชนในพื้นที่โครงการ ลามไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนไม่น้อยที่ฟ้องผู้บริโภค และยังลามไปถึงผู้มีอำนาจ รัฐมนตรี นักการเมือง ยังฟ้องปิดปากประชาชน สื่อมวลชน กระทั่งนักการเมืองฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นมาตรวจสอบในรัฐสภา เพื่อเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ตรวจสอบ รวมถึงองค์กรหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ในการใช้อำนาจบริหารเพื่อกลั่นแกล้งเพื่อนำไปสู่การลงโทษทางวินัยเป้าหมายเพื่อต้องการปิดปากและขัดขวางการทำงานของสหภาพแรงงานซึ่งเป็นองค์กรของลูกจ้าง เช่น กรณีการใช้อำนาจบริหารกลั่นแกล้งโยกย้ายและตรวจสอบวินัยนายมานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เป็นต้น

ทั้งนี้ การฟ้องคดี SLAPP โดยบริษัท เป็นการละเมิดหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) UNGPs ปัจจุบันเป็นทั้ง “มาตรฐานสากล” และ “พิมพ์เขียว” การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในโลก ประเทศไทยโดยคณะรัฐมนตรีหลังจากที่มีมติเห็นชอบและประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights) เมื่อปี พ.ศ. 2562 ก็ได้นำ UNGPs มาใช้ โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ได้รับมอบหมายพันธกิจให้จัดอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่อง UNGPs สำหรับบริษัทจดทะเบียน ส่วนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพก็จัดประกวด “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน” ต่อเนื่องมาหลายปี ยังไม่นับว่าหลักการชี้แนะ UNGPs ถูกนำไปบูรณาการในมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG (ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล) ระดับสากลจำนวนมากที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ที่เกี่ยวกับ UNGPs ส่งผลให้เกิดความตื่นตัว บริษัทไทยจำนวนมากทยอยประกาศว่าตนรับหลักการชี้แนะ UNGPs ไปปฏิบัติ แต่ตลกร้ายก็คือ ในจำนวนนี้มีหลายบริษัทที่ยังคงฟ้องคดีที่เข้าข่าย SLAPP แม้หลังจากที่บริษัทผู้ฟ้องประกาศว่ารับ UNGPs และออกนโยบายสิทธิมนุษยชนมาแล้วก็ตาม

ด้านนายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ อ่านแถลงการณ์ข้อเสนอต่อรัฐบาลและภาคธุรกิจเอกชนว่า เครือข่ายประชาธิปไตยและองค์กรภาคประชาชน ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การจัดปัญหานี้ร่วมกันดังนี้

1. รัฐบาลจะต้องทำหน้าที่ของรัฐในการปกป้องสิทธิมนุษยชน จากการบิดเบือนระบบกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ในการข่มขู่และปิดปากผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ และการปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน (human rights defenders) รวมทั้งหน้าที่ในการกำกับดูแลการใช้วิธีนี้ของบริษัทเอกชนเพื่อคุกคามประชาชนที่ทำหน้าที่บนผลประโยชน์สาธารณะ ปัจจุบันมีเพียงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีบทบาทหลักในการป้องกันและช่วยเหลือผู้ถูกฟ้องคดี SLAPP โดยเป็นการคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริตและถูกฟ้องกลับ ให้ถือเป็นผู้แจ้งเบาะแสหรือผู้ร้องเรียน ที่จะได้รับความครอง ทั้งทางแพ่ง อาญา วินัย และปกครอง แต่ ป.ป.ช. จะดำเนินการเฉพาะในคดีทุจริต โดยไม่ได้รวมถึงกรณีผู้บริโภคถูกฟ้องปิดปาก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายและการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้เครื่องมือฟ้องคดีปิดปากประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ขอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมถึงผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจ ยุติการใช้อำนาจโดยมิชอบและฟ้องร้องในคดีปิดปากประชาชน ต่อสื่อมวลชนและประชาชนผู้ลุกขึ้นมาตั้งคำถามและตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ ซึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้งคุกคามประชาชนโดยตรง และทำให้รัฐขาดธรรมาภิบาล กลายเป็นรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยผู้มีอำนาจเสียเอง

2. บริษัทเอกชนจะต้องเคารพสิทธิมนุษยชนและยกเลิกการฟ้องปิดปากประชาชนโดยทันที UNGPs กำหนดให้บริษัทต้องแสดงความรับผิดชอบว่าเคารพสิทธิมนุษยชน ไม่ว่ากฎหมายในประเทศนั้นๆ จะกำหนดไว้อย่างไรบ้าง การฟ้องคดี SLAPP เป็นการละเมิดความรับผิดชอบข้อ 85 นี้อย่างตรงไปตรงมา บริษัทต้องดำเนินกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) เพื่อระบุ ป้องกัน และบรรเทาความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน การฟ้องคดี SLAPP สะท้อนว่าบริษัทล้มเหลวในหน้าที่นี้อย่างสิ้นเชิง การฟ้องคดี SLAPP เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างเลือกปฏิบัติเพื่อกลั่นแกล้ง (judicial harassment) ขัดต่อละเมิดหลักการพื้นฐานที่ว่ากระบวนการยุติธรรมควรเป็นกลไกกลางที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้ เพื่อแสวงหาการเยียวยาที่มีประสิทธิผลจากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน

ขอเรียกร้องให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกำลังดำเนินการฟ้องคดีปิดปากประชาชน ถอนฟ้องประชาชนที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามและปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ โดยเคารพและปฏิบัติการตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อนำธรรมาภิบาลกับคืนมาสู่องค์กรและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค โดยสร้างกลไกเวทีสาธารณะในการทำงานแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์สาธารณะร่วมกันโดยไม่ใช้การฟ้องคดีปิดปากเป็นเครื่องมือ

3. ขอให้รัฐบาลผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พ.ศ. …. (ร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากฯ) เพื่อปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defender) และป้องกันปัญหาการดำเนินคดีจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ต่อเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญทางกระบวนการประชาธิปไตย โดยมีการดำเนินคดีจำนวนมากที่ขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองในรัฐธรรมนูญ ทั้งเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และสิทธิที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อรัฐ เป็นการคุกคามประชาชน สร้างความกลัวและบั่นทอนแรงจูงใจที่จะรักษาสิทธิ์เพื่อรักษาประโยชน์สาธารณะ

หากสิ่งที่พูดหรือเผยแพร่ยังไม่เป็นความจริงแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐจะต้องมีนโยบายไม่ให้ผู้ถูกฟ้องปิดปากต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย หลักการที่เป็นอยู่เดิมในการพิจารณาคดีแพ่งในข้อหาหมิ่นประมาท แตกต่างกับการพิจารณาคดีอาญาตรงที่ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นเป็นความจริง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงแล้วจะไม่ถือว่าเข้าข่ายความผิดเลย ซึ่งหากเป็นคดีอาญาแม้จะเป็นความจริงก็ยังอาจเป็นความผิดได้อยู่ สำหรับคดีแพ่งหากมีการเผยแพร่ข้อมูลออกไปในเรื่องที่ยังไม่เป็นความจริง แต่เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รู้ว่าไม่เป็นความจริง ก็ไม่ควรต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายใดๆ หากศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นคดีที่เข้าข่ายการฟ้องปิดปากประชาชน ศาลควรมีอำนาจสั่งให้ยุติคดีได้ อีกทั้งยังอาจสั่งให้ฝั่งโจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยเชิงลงโทษได้ ศาลเองต้องคำนึงว่าต้องทำให้โจทก์ไม่สามารถฟ้องร้องคดีใหม่ได้อีก หากในกรณีที่พิจารณาแล้วว่าไม่เข้าข่ายการฟ้องปิดปาก ศาลก็มีอำนาจให้คดีนั้นเดินหน้าต่อไปได้
กำลังโหลดความคิดเห็น