xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกานักการเมือง สั่งให้"ทักษิณ" กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี เหตุส่งตัวไปชั้น 14 มิชอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



ศาลฎีกานักการเมือง สั่งให้"ทักษิณ" กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปีตามคำพิพากษา หลังที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เพราะขั้นตอนการส่งตัวไปรพ.ตำรวจชั้น 14 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ ( 9 ก.ย. ) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำสั่งคดี หมายเลขดำที่ บค1/ 2568 กรณีศาลมีคำสั่งให้ได้สวนว่า การบังคับโทษ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 และคดีหมายแดง

ที่ อม 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือไม่ โดยโจทก์ จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริง ต่อศาลพร้อมเอกสารประกอบซึ่งศาลดำเนินการไต่สวนพยานรวม 31 ปาก

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลย หรือไม่ เห็นว่า การได่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2562 ข้อ 61 วรรคสองแม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงทพมหานครและอธิบดีกรมดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอก
เรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษา
ตัวนอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมทานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการ
เฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล ดังนั้น หากความปรากฎแก่ศาลว่าอาจมีการ
บังคับโทษผู้ต้องขังในทีนี้ไม่เป็นไปตามผลายจำทุกมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกามผนาคดีอาญาของผู้ดำระดำเลทงทางทรมืองซึ่งป็นศาลที่มี
คำพิพากษาและออกหมายจำคกเมื่อคดีถึงดีถึงที่สอมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำ
ต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทระทรวง
ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 89 หรือไม่

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่ เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่นายขาญชัยได้ยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้อง
ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า กรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 หรือไม่ ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ชาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในขั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้งสองฉบับคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามขมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจำทัณจำทัณฑทสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของโรงทยาบาลต่างประเทศ รวม 10 โรค อาการโดยรวมทั้งหมดงที มีเพียง 3 โรค ที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลทัณฑ์


เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาล
ราชทัณฑ์ไม่มีแพพย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบีเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิคลินิกโรคตับ
จึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตังตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ใน
ภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก
แพทยสภา แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลา 22.00 น.จำเลยแจ้งว่ามีอาการ
อ่อนเพลีย ชาชวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98
มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกชิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8
องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจ้าเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวตัวจำเลยไป
รักษาตัวนอกเรือนจำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ไม่ได้ส่งตัวจำเลย
ไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนตั้งกล่าวและทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200 เมตร ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอนต้องนี้ กล่าวคือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากเททย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตานมาตรา 55 วรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง หากแพพย์
เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งผ่าน
การอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษาพอกเรือนจำจึงให้ส่งตังตัวผู้ต้องไปรักษาตัวนอก
เรือนจำได้ การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55
และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 นอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
แบบฉุกเฉินเนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ ๑๔ ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.)
ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก
ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้บำวยฉุกเฉินไว้ในข้อ 53 ว่า ในกรณีบอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตราจรักษา และกำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ 6.2 ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจาจารย์นายแพทย์
ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความ
คืบหน้าการรักษา พบว่าในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์เชียวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว และได้ความจากนายแพพย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์กัด ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาฎเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลสำรวจในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ เชื่อได้ว่า ในคืนวันวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างไมการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจะนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจำเลยตามที่ระบุใน
เวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้พ.ต.อ.นายแพทยืชนะ ก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม
2566 จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณพสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ จึงหันได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจำเลยทานกิดขึ้จริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทเลาดีขึ้นและจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาบาลของเรือนจำพิเศษ
กรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับการรักษาจำเลย
ที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567)
นั้น แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองเพทย์ผลงวันที่ 15 กันยายน 2566 วันที่ 18 ตุลาคม 2566 และวันที่ 23 ธันวาคม 2566
เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปกินกว่า 30 วัน
60 วัน และ 120 วันโดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัตเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะ
กระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุโนโบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่ง
ฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลดำรวจ และมีใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวตัวจ้าเลยมาที่
โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดภาาวะกระดูกคอเสื้อมแพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ้าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ
แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใดจนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะรำงกายของจำเลยเอง นอกจากนั้นยังได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ้าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลดำรวจขยายระยะเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพหาพครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มีได้เกิดจาการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษาและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นโบโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นกระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลย
จึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ


ต่อมาเมื่อเวลา 11.20 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าฟังคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่า ทางครอบครัวรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่อภัยโทษและลดโทษให้คุณพ่อ ซึ่งพวกเราทั้งครอบครัวสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ เรารู้สึกเรื่องนี้ในทุกๆวัน และขอบคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจห่วงใยให้คุณพ่อและครอบครัวของเรา อย่างไรก็ตามนายทักษิณเป็นผู้นำจิตวิญญาณในเรื่องการเมือง ที่ผ่านมาผลงานต่างๆที่ทำเพื่อบ้านเมืองท่านยังเป็นคนที่นึกถึงบ้านเมืองเสมอใจจริงในการหวังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนกินดีอยู่ดีตัวดิฉันเอง และครอบครัวมีความเป็นห่วงคุณพ่อ และภูมิใจที่คุณพ่อได้สร้างประวัติศาสตร์มากมายให้ประเทศไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนในประเทศ

วันนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องจำคุกเรื่องนี้ก็อาจจะค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง แต่กำลังใจดีทั้งคุณพ่อและครอบครัว ส่วนตัวดิฉันและพรรคเพื่อไทยยังมุ่งหน้าทำงานต่อเป็นฝ่ายค้านและทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนตรวจสอบรัฐบาลต่อไปในส่วนของพรรคทุกคนมีกำลังใจดี ขอบคุณทุกภาคส่วนประชาชนทุกคนที่ให้ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างกันตลอดที่ผ่านมา


ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ว่า วันนี้ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้มาอ่านในรายละเอียดของหลักฐาน ทั้งนี้ศาลได้อ่านการกระทำของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ว่ากระทำความผิดอะไรบ้าง ซึ่งความผิดนี้ทางป.ป.ช.จะได้ดำเนินการต่อ เพราะศาลเองก็ได้ทราบว่ามีทาง คปท.ไปร้องที่ป.ป.ช. ส่วนประการสุดท้ายนั้น ศาลบอกว่า คุณทักษิณรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ป่วยก็ยังไปอยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดเรื่องนี้ ฉะนั้นการกระทำความผิดจะอ้างว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ไม่ได้เพราะนายทักษิณคือผู้สนับสนุนหรือตัวการ

แต่อย่างไรก็ตามขอขอบคุณนายทักษิณที่แสดงความรับผิดชอบ เดินทางกลับมาฟังคำพิพากษาศาล อันนี้ต้องยอมรับว่านายทักษิณคิดถูกที่กลับมารับโทษแต่ประเทศไทยไม่คุ้มหรอกติดคุกปีเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่กฎหมายทำได้เท่านี้เอง

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวว่า วันนี้ศาลได้พูดชัดว่าการบังคับใช้มาตรา 55 พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ราชทัณฑ์ รวมกับกฎกระทรวงในการส่งตัวนักโทษรายนี้ไม่สามารถบังคับได้ในการส่งนักโทษออกไปรักษาภายนอก ดังนั้นรับรู้ได้เลยว่าการบังคับใช้มาตรา 55 ที่ทางทีมราชทัณฑ์ส่งตัวออกไปรักษาภายนอกไม่เป็นไปตามข้อกฎหมาย

ส่วนนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) กล่าวว่า ขอบคุณศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่คืนความยุติธรรมให้กับสังคมไทย และขอชื่นชมคุณทักษิณที่กล้ากลับมา เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไป

ผู้สื่อจากการตรวจสอบคำสั่งศาลฎีกาฯนักการเมืองในคดีบังคับโทษชั้น 14 ไม่ได้มีการเขียนมติขององค์คณะไว้ในคำสั่ง

ซึ่งเเหล่งข่าวจากศาลยุติธรรมระบุว่า กรณีถ้ามติเป็นเอกฉันท์จะไม่มีการระบุมติไว้ในคำสั่ง ยกเว้นเเต่กรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันจึงจะเขียนมติเอาไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าดังนั้นคำสั่งศาลฎีกาในวันนี้ที่ไม่ลงรายละเอียดมติองค์คณะเอาไว้มติจึงเป็นเอกฉันท์

สำหรับรายชื่อ องค์คณะศาลฎีกาทั้ง 5 คนประกอบด้วย

1. นายฉัตรชัย ไทรโชต 2. นายอดุลย์ อุดมผล 3. นายไตรรัตน์ แก้วศรีนวล 4. นางสุพิชญ์ กรอบคำ และ 5. นายพัฒนไชย ยอดพยุง
กำลังโหลดความคิดเห็น