เกิดเหตุอัคคีภัยครั้งรุนแรงระดับ 5 ที่โครงการที่พักอาศัย "หงฝูหยวน" (Hongfu Yuan) ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 44 ราย และได้รับบาดเจ็บ 45 ราย เหตุการณ์นี้นับเป็นโศกนาฏกรรมไฟไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบ 60 ปีของฮ่องกง โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตแซงหน้าเหตุการณ์ไฟไหม้อาคารเจียลี่เมื่อปี 2539 และเทียบเท่าเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ฉางซาเมื่อปี 2505
เหตุเพลิงไหม้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.51 น. ของวันที่ 26 พ.ย. 2568 ก่อนที่ระดับความรุนแรงจะถูกยกระดับเป็นระดับ 5 (ระดับสูงสุด) ในช่วงเย็นวันเดียวกัน พยานในที่เกิดเหตุระบุว่าไฟลุกลามอย่างรวดเร็วและมีเสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่อง โดยกระแสลมแรงได้พัดพาเศษวัสดุที่ติดไฟไปยังอาคารข้างเคียง ส่งผลให้ไฟลามไปถึง 7 อาคาร จากทั้งหมด 8 อาคารในโครงการ
แม้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ตลอดทั้งคืน แต่จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 27 พ.ย. 2568 ไฟยังคงไม่มอดสนิท โดยยังคงมีกลุ่มควันและเปลวไฟปรากฏในบางจุด กลิ่นเหม็นไหม้จากการเผาไหม้ลอยไปไกลถึงด่านพรมแดนหวงกั่ง เมืองเซินเจิ้น ซึ่งห่างออกไปเกือบ 19 กิโลเมตร
อาคารหงฝูหยวนสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2526 และกำลังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมผนังภายนอก ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วและควบคุมยากเกิดจากปัจจัยหลักดังนี้:
วัสดุติดไฟง่าย: มีการใช้นั่งร้านไม้ไผ่ ตาข่ายกันฝุ่น และโฟม (Styrofoam) หุ้มอาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่าเป็นวัสดุที่ไม่ผ่านมาตรฐานการป้องกันอัคคีภัย
ปรากฏการณ์ปล่องไฟ (Chimney Effect): โครงสร้างนั่งร้านและช่องว่างระหว่างอาคารทำหน้าที่เป็นปล่องลม เร่งกระแสลมในแนวดิ่งทำให้ไฟลุกลามขึ้นสู่ชั้นบนอย่างรวดเร็ว ประกอบกับสภาพอากาศที่แห้งและลมแรง
ล่าสุด ตำรวจฮ่องกงได้จับกุมชาย 3 ราย ซึ่งเป็นผู้บริหารและที่ปรึกษาของบริษัทวิศวกรรมที่รับผิดชอบการติดตั้งวัสดุดังกล่าว ในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา เนื่องจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ได้สั่งการด่วนให้ทางการฮ่องกงเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยและลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด ด้านผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้สั่งการระดมสรรพกำลังเพื่อกู้ภัยและรักษาผู้บาดเจ็บทันที
ทางการได้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวและจุดช่วยเหลือหลายแห่งเพื่อรองรับผู้อพยพ โดยมีประชาชนจิตอาสาจำนวนมากนำอาหาร น้ำดื่ม และเครื่องนุ่งห่มมาร่วมบริจาคช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 500 คนในพื้นที่
ที่มา: Beijing News (Xinjing Bao)


