กฟผ.เร่งศึกษาเทคโนโลยี SMR และพลังงานไฮโดรเจน ชี้เป็นความหวังใหม่ของไทยเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 พร้อมศึกษาดูความก้าวหน้าเทคโนโลยี SMR และไฮโดรเจนที่เกาหลีใต้ ร่วมผลักดันความมั่นคงทางพลังงานและขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero อย่างยั่งยืน
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) ว่า เทคโนโลยี SMR และพลังงานไฮโดรเจน เป็นความหวังใหม่ที่จะทำให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ปี ค.ศ. 2050 แม้ว่าการผลิตไฮโดรเจนและ SMR จะไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ แต่อนาคตเมื่อมีการพัฒนาและลงทุนเพิ่มมากขึ้น จะทำให้ต้นทุนปรับลดลงจนแข่งขันกับพลังงานอื่นได้
ทั้งนี้ กฟผ.มาศึกษาดูงานความก้าวหน้าเทคโนโลยี SMR ที่ศูนย์วิจัยกลาง (Central Research Institute : CRI) ของบริษัท Korea Hydro & Nuclear Power Co., Ltd. (KHNP) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนิวเคลียร์ของโลกที่มีประสบการณ์กว่า 50 ปี แม้ว่าปัจจุบันเกาหลีใต้จะยังไม่มีโรงไฟฟ้าSMR ที่เปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ แต่ตามแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 มีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการ SMR ขนาด 680 เมกะวัตต์ผ่านเทคโนโลยี “i-SMR (Innovative Small Modular Reactor)” จำนวน 4 โมดูล ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำของเกาหลีใต้ (เช่น KHNP, KAERI, KEPCO E&C) ภายใต้ i-SMR Consortium ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ ตั้งเป้าก่อสร้างแห่งแรกในปี2573 และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2578 ซึ่งเร็วกว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมถึง 3-4 ปี
นายวฤตกล่าวว่า สิ่งที่ กฟผ.ได้รับจากการเยี่ยมชม KHNP คือแนวคิดการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์แบบครบวงจรตลอดทั้ง value chain โดยพัฒนาเทคโนโลยีเอง รวมทั้งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งหมดจัดหาโดยบริษัท KNF ซึ่งเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์รายเดียวของประเทศ ขณะที่ KHNP เป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์รุ่นใหม่ รวมถึงระบบความปลอดภัย ล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้น้ำเป็นตัวหล่อเย็น ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากรควบคุม เป็นต้น
ทำให้ปัจจุบันเกาหลีใต้เป็นประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ติดอันดับ 5 ของโลกที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากที่สุด 26 โรง อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 4 แห่ง คิดเป็นกำลังผลิตรวม 26,050 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วน 32%ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ และมีแผนจะเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในปี2581 โดยลดการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลง
นายวฤตกล่าวว่า กฟผ.ในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ และมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาดและยั่งยืน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024)
โดยร่างแผน PDP 2024 กำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR จำนวน 2 โรง รวมกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ซึ่งปัจจุบัน กฟผ.ยังไม่ตัดสินใจเลือกเทคโนโลยี SMR จากประเทศใด เพราะต้องรอความชัดเจนแผน PDP ใหม่ว่าจะให้มีโรงไฟฟ้า SMR หรือไม่ แม้ว่าการยุบสภาเพื่อเตรียมเลือกตั้งใหม่ในปีหน้าจะทำให้ร่างแผน PDP ฉบับใหม่ล่าช้าลงบ้าง แต่ตามแผนได้มีการปรับปรุงมามากพอสมควรแล้ว โดยในมุมของ กฟผ. การพัฒนา SMR ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่ต้องรอจังหวะรัฐบาล หากเป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ใช้เวลาเตรียมการกว่า 10 ปีขึ้นไป ตั้งแต่กฎระเบียบ บุคลากร ไปจนถึงการสร้างการยอมรับของสังคม ซึ่งสามารถเดินหน้าคู่ขนานกันไป
อย่างไรก็ตาม กฟผ.ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยี SMR จากหลายประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมกับร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงบริษัท KHNP ในการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิค รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับโครงการ SMR ของประเทศไทย
ที่ผ่านมา กฟผ.เดินหน้าหลายโครงการสำคัญ เช่น โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อน กฟผ.ทั่วประเทศ สอดรับกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อรองรับความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ พัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) รวมถึงเทคโนโลยี SMR
นอกจากนี้ กฟผ.ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจนร้อยละ 5 กับก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม กฟผ. จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษาข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. พร้อมทั้งจับมือบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น อาทิ บริษัท มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) ศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และแอมโมเนียบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ. เพื่อสนับสนุนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050
“SMR และไฮโดรเจนเป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้นจากปี 2065 เป็นปี 2050 กฟผ.พร้อมเดินหน้าสนับสนุนร่วมกับพันธมิตรนานาชาติเพื่อยกระดับความมั่นคงทางพลังงานของไทย ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียวอย่างยั่งยืน” นายวฤตกล่าว


