ORปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจต่างประเทศใหม่ เน้นประเทศในอาเซียน แย้มการลงทุนธุรกิจGlobalลดลง เหตุทบทวนแผนดำเนินธุรกิจในกัมพูชา หลังยอดขายหด50-60% และจำนวนปั๊มPTT Stationลดเหลือ150แห่ง ชี้หากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงฉุดยอดขายหดตัวลงอีก อาจตัดสินใจยุติการลงทุน
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ ORเปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ(Global)ว่า บริษัทจะเน้นการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีทั้งถนน รถไฟ เรือ ไฟฟ้า และท่อน้ำมัน ที่สามารถต่อยอดธุรกิจได้
แม้ว่าธุรกิจต่างประเทศจะเป็นหนึ่งในสามเสาหลักสร้างการเติบโตของบริษัท แต่ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในการดำเนินธุรกิจในประเทศ เพื่อรักษาความแข็งแกร่งในระยะยาว
โดยในปี2569 งบลงทุนในธุรกิจGlobal จะปรับลดลง เพราะบริษัทชะลอการลงทุนในหลายประเทศทั้งกัมพูชา รวมถึงเวียดนามหลังประกาศยุติการลงทุนร้าน Café Amazon ในเวียดนามอย่างถาวร
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาตัดสินใจปรับการลงทุนในกัมพูชา หลังจากปีนี้ยอดขายในกัมพูชาปรับลดลงถึง 50-60%จากปีก่อน สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะตามชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา จนเกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทย ทำให้สถานีบริการน้ำมันPTT Station ในกัมพูชาที่เคยมีอยู่ราว200 แห่ง (เป็นปั๊มน้ำมันที่ORเป็นเจ้าของเพียง 10%) ส่วนใหญ่เป็นของดีลเลอร์ มีการเปลี่ยนย้ายค่ายไปถึง 40-50แห่ง ล่าสุด มีสถานีบริการPTT Stationในกัมพูชาเหลืออยู่เพียง 150แห่ง เช่นเดียวกับร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอนที่เหลืออยู่เพียง 150 สาขา อย่างไรก็ตาม OR ได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากรายได้จากธุรกิจในกัมพูชาคิดเป็น 2-3%ของกำไรรวมOR
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเกิดการปะทะรุนแรงอีก หรือเลวร้ายถึงขั้นปิดสถานฑูต ทำให้ยอดขายปรับลดลงมากจนไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ บริษัทฯก็คงต้องยุติการทำธุรกิจในกัมพูชา ซึ่งเป็นแนวทางซินาริโอ (Scenario) ที่แย่สุด โดยบริษัทวางไว้หลายซินาริโอ แต่ขณะนี้ยังเดาไม่ออกว่าสถานการณ์จะไปทางไหน แต่คาดว่าจะมีความชัดเจนแผนการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาภายในเดือนธันวาคมนี้ หรืออย่างช้าเดือนมกราคม 2569
ส่วนสาเหตุการยุติการทำธุรกิจ Café Amazon ที่มีอยู่ 20-30สาขาในเวียดนามอย่างถาวรนั้น เนื่องจากบริษัทไม่สามารถนำความสำเร็จของ Café Amazon ในไทยที่มีอยู่กว่า 4พันสาขาไปใช้ในเวียดนามได้ เพราะคู่แข่งร้ากาแฟท้องถิ่นแข็งแกร่ง และเป็นมากกว่าร้านกาแฟ ทำให้ Café Amazon ไม่สามารถขยายสาขาได้เพิ่มขึ้น และมีต้นทุนแฝงสูง ทำให้ประสบปัญหาการขาดทุนมาตลอด และไม่คุ้มที่จะลงทุนอีกต่อไป
สำหรับสปป.ลาวที่บริษัทลงทุนทั้งธุรกิจสถานีบริการน้ำมันPTT Station และCafé Amazon ครอบคลุมทุกจังหวัด และไปได้ด้วยดี ส่วนเมียนมา คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนหน้า หากสถานการณ์ดีขึ้น ไทยจะมีความได้เปรียบในการเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะด้านพลังงาน ซึ่งOR ก็พร้อมเข้าไปลงทุนในเมียนมา
“จากประสบการณ์ในกัมพูชาทำให้บริษัทต้องกลับมาคิดใหม่ ที่ผ่านมา เราทำมาดี ลงทุนในบางประเทศเป็นเหมือนพี่น้อง แต่พี่น้องมีโอกาสกระทบกระทั่งกัน และพังพาบในพริบตา ดังนั้นคงต้องกำหนดรูปแบบการเติบโตในประเทศเพื่อนบ้าน ซี่งแผนการลงทุนจะเน้นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา ลาว หรือกัมพูชา ซึ่งไทยมีความได้เปรียบมากสุด ”
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวถึงมุมมองธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า(EV)ว่า จีนมีการติดตั้งSuper Changerหลายยี่ห้อมากที่ชาร์จไฟได้เร็ว และมีระบบไฟฟ้าที่รองรับการชาร์จไฟฟ้าที่รวดเร็ว เช่นการชาร์จ 800 kWต่อคัน ใช้ระยะเวลาชาร์จสั้น หากชาร์จพร้อมกัน 5 คันเท่ากับการใช้ไฟสูงถึง 4 เมกะวัตต์ ซึ่งจีนได้ แต่ประเทศไทยโครงสร้างระบบไฟฟ้ายังไม่เหมาะสมกีบการติดตั้งSupercharger และจำนวนรถที่รองรับได้น้อย ดังนั้น ORมองว่ากำลังไฟ 120-180 kW ใช้เวลาชาร์จประมาณ 30 นาที เป็นจุดที่สมดุลที่สุดสำหรับรถEVส่วนใหญ่และระบบไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน
ในมุมมองOR เห็นว่า EV ไม่ได้มาแทนธุรกิจน้ำมันแต่เป็นการต่อยอด เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกพลังงานสะอาดและใช้เวลาอยู่ในสถานีบริการมากขึ้น ซึ่งOR จะปรับปรุงสถานีบริการให้ตอบรับกับระยะเวลาการชาร์จรถ EV เพื่อให้ลูกค้าใช้เวลาภายในสถานีบริการเพิ่มมากขึ้น ดังนี้
1.Time Spent Expansion เพิ่มเวลาใช้บริการในสถานีบริการจาก 5นาที เพิ่มเป็น 45นาทีผ่านการพัฒนาพื้นที่ทั้ง PTT Station และOR SPACE รวมถึงบริการเสริมต่างๆในสถานีบริการ
2. Energy Transition to EV Charging
เนื่องจากEV Charging เป็นฟังก์ชั่นหลักที่ดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการนานขึ้น การเชื่อมต่อสู่การขยาย Ecosystem ที่สมบูรณ์ภายในสถานี และ 3. Diverse F&B Ecosystem ขยายแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม ทั้งORและพันธมิตร ครอบคลุม Café Amazon, เขียง, Pacamara, QSR (Quick Service Restaurant) และแบรนด์ใหม่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า
4. Lifestyle & Daily Services เพิ่มบริการด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ เช่น คลินิกโอบอ้อม,found&found,Otteri รองรับการใช้บริการในชีวิตประจำวัน 5. Traffic Enhancement to OR Ecosystem โดย OR SPACE ปรับโฉม Ecosystem ของ OR แบบใหม่ในอนาคต เพื่อรองรับ Energy Transition เพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ที่เชื่อมต่อกันภายในสถานี
ปัจจุบัน บริษัทมีสถานีชาร์จ EV Station PluZ กระจายทั่วประเทศ ในปีนี้ OR มีเป้าหมายที่จะจุดชาร์จEVเพิ่มเป็น 2,635 จุดชาร์จ และเพิ่มเป็น 7,000จุดชาร์จในปี2573 เพื่อให้ผู้ใช้รถ EV ในไทยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จ ไม่ต้องซื้อรถสองคัน (EV และ ICE) ทำให้ทุกการเดินทางของคนไทยสะดวก ต่อเนื่อง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


