“บีซีพีจี”ตั้งเป้าEBITDAในปี2571 โต2เท่าจากปีนี้ มี EBITDA ราว 4,500 ล้านบาท หลังประเมินEBITDAได้แน่ 7,000ล้านบาทโดยเสริมธุรกิจใหม่ทั้งData Center ระบบโครงสร้างพื้นฐานและรีไซเคิล ที่อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าปี69 จะมีความชัดเจน
นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)หรือ BCPG เปิดเผยว่า
ในปี2571 บริษัทตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)เติบโตเป็น 2 เท่า โดยมั่นใจว่าEBITDAใน3ปีข้างได้แน่นอน 7,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดจะมี EBITDA ราว4,500 ล้านบาท
โดยEBITDAเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญมาจา 2 ส่วนหลัก คือ 1. ธุรกิจในปัจจุบัน ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าก๊าซฯในสหรัฐ ที่ดำเนินการในตลาด PJM มีค่าพร้อมจ่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ 114เมกะวัตต์และพลังงานลม600เมกะวัตต์ในลาวขายไฟให้เวียดนาม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย และคลังน้ำมัน
2.การขยายลงทุนในธุรกิจใหม่ๆเพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นลงทุนใน3 ธุรกิจ ได้แก่ 1. Data Center เพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีเศรษฐกิจจ้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าสีเขียว 2.ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ระบบบริหารจัดการน้ำและน้ำเย็น เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำในData Center และ3.ธุรกิจรีไซเคิล อาทิ รีไซเคิลแผงโซลาร์ และแบตเตอรี่ ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ จากการบริหารจัดการแผงโซลาร์ของบริษัทเพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่และเพิ่มรายได้ให้บริษัทอย่างยั่งยืน คาดว่าในปี 2569 จะมีความชัดเจนในการลงทุน
ทั้งนี้ ใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทยังมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่ม SET50 จากปัจจุบัน SET100 รวมทั้งเข้าจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI (Dow Jones Sustainability Index)
นายรวี กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2569-2571 ไว้ที่ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2569 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 7,000 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งจะใช้สำหรับโครงการในไต้หวัน ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อเดินหน้าโครงการที่อยู่ในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผน และมีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มเติม ขณะที่ในช่วงปี 2570-2571 ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท สำหรับโครงการต่างๆเช่น Data center และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจยุคใหม่
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2568 คาดว่า EBITDA จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 4,500 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ 4,300 ล้านบาท ทั้งนี้ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 บริษัทมีกำไรก่อนรายการพิเศษ 711.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.4/% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 626.0 ล้านบาท ซึ่งกำไรก่อนรายการพิเศษดังกล่าวถือเป็นจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ และศักยภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์พลังงานในหลายประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายรวี กล่าวอีกว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา บีซีพีจีได้สร้างรากฐานที่มั่นคงในธุรกิจพลังงานสะอาด สะท้อนผ่านพอร์ตการลงทุนที่กระจายตัวทั้งด้านเทคโนโลยีและภูมิภาค ปัจจุบันบริษัทลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ครอบคลุมประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหรัฐอเมริกา รวมกำลังการผลิตกว่า 2,027 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางตลาด
โดยโครงการสำคัญ ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐฯ ที่ดำเนินการในตลาด PJM ได้รับค่าความพร้อมจ่ายในระดับสูงต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาวที่จำหน่ายไฟฟ้าให้เวียดนามซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูง รวมถึงโครงการพลังงานลมมอนซูนขนาด 600 เมกะวัตต์ ใน สปป. ลาว ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าเวียดนาม ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อปลายไตรมาสที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนผ่านโครงการพลังงานลมในเวียดนาม 2 โครงการ รวมกำลังการผลิต 99 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) ในประเทศไทย ซึ่งภายในปีนี้จะมีกำลังผลิตรวม 43.6 เมกะวัตต์ เติบโตกว่าเท่าตัว และมีเป้าหมายขยายไปถึง 100 เมกะวัตต์ ตลอดจนขยายการพัฒนาโรงไฟฟ้าในไต้หวัน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างสถานีและสายส่งขนาด 200 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าในโครงการแล้ว ซึ่งโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงเมื่อเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบ สนับสนุนรายได้ระยะยาวและกระจายความเสี่ยงในการดำเนินการ


