สภาอุตสาหกรรมฯ ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้โตเพียง 1.8–2.2% เสี่ยง “รถติดหล่ม” จากกำลังซื้ออ่อน–เงินเฟ้อต่ำ–ตลาดแรงงานเปราะบาง ขณะที่แรงกดดันจากสงครามการค้าและกติกาเขียวโลกบีบให้ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจี้รัฐบาลรื้อกฎหมายล้าสมัย แก้ BCG ให้เดินจริง ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน–บริหารจัดการน้ำ และสร้างคนทักษะสูงอย่างเร่งด่วน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุลประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยภายในงานสัมมา iBusiness Forum: Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทยว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา เช่น ไตรมาสที่ 1 ขยายตัวราว 3.2% และไตรมาสที่ 2 ประมาณ 2.8% ทำให้ครึ่งปี 2568 ยังดู “ไปได้” แต่เมื่อมองไปข้างหน้าโดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 กลับพบสัญญาณน่ากังวลว่าอัตราการเติบโตอาจเหลือเพียงราว 1.3% ซึ่งหากปล่อยให้ทั้งปีจบลงด้วยภาวะ “รถติดหล่ม” การจะดึงเศรษฐกิจขึ้นจากหล่มจำเป็นต้องใช้ “พลังและงบประมาณมหาศาล” และอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาด
รัฐบาลใหม่–ครม.เศรษฐกิจเดินหน้า 4 มาตรการเร่งด่วน หวังค่อย ๆ ดันรถขึ้นจากหล่ม
อย่างไรก็ตามฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจนำโดยนายเอกนิติ ได้หารือกับภาคเอกชนร่วมกันว่าต้อง “ไม่ยอมให้รถจมหล่ม” และต้องช่วยกันดึงขึ้นมาให้ได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนใน 5 มิติหลัก ได้แก่
การสร้างรายได้ การลดรายจ่ายการเพิ่มการใช้จ่ายของประชาชน การแก้ปัญหาหนี้และเพิ่มสภาพคล่อง และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการท่องเที่ยว
ทั้งนี้หลังจากภาคเอกชนที่ได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ระบุว่า ในช่วงเพียง 4 สัปดาห์ มีมาตรการเศรษฐกิจออกมาแล้ว 4 เรื่อง พร้อมทั้งมี “พาสปอร์ตติดตามงาน” ทำให้สามารถเห็นสถานะ (Status) ความคืบหน้าแต่ละมาตรการ ซึ่งต่างจากในอดีตที่ประชุมจบแล้วไม่รู้ว่าเรื่องคืบหน้าไปถึงไหน อย่างไรก็ดี เส้นทางต่อจากนี้ยังต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาหนี้ การปล่อยสินเชื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ส่งออกโตแต่ไม่ใช่ “สินค้าจริงของไทย”
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า การประเมินล่าสุดของคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตในกรอบเดิม คือ 1.8–2.2% โดยค่ากลางอยู่ราว 2.0%
แม้ตัวเลขมูลค่าการส่งออกถูกปรับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโตเพียง 2–3% มาเป็น 5–10.5%
แต่เมื่อ “แกะตัวเลข” ลึกลงไปกลับพบว่าสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะจีน) เพิ่มขึ้นกว่า 30% ขณะที่ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัวเพียงเล็กน้อย ไม่สอดคล้องกับตัวเลขส่งออก
“ตัวเลขที่ออกมาสะท้อนว่าการส่งออกที่ดูดีขึ้น “ไม่ใช่สินค้าไทยแท้” ในเชิงมูลค่าเพิ่ม จึงไม่เพียงพอให้ปรับประมาณการจีดีพีขึ้น”
ไทยต้องปรับตัวเลิกรับจ้างผลิตสู่ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต”
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า จากแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศ ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงต้องเร่ง “หนีออกจากวงล้อเดิม” ที่พึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industry) แบบ OEM ใช้แรงงานเข้มข้น ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง
เพื่อตอบโจทย์นี้ จึงมีการออกแบบนโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชุดใหญ่ ภายใต้แนวคิด “Four Golds – โฟร์โกลด์” ทั้งในด้านดิจิทัล–เอไอ, นวัตกรรม, ตลาดใหม่, อุตสาหกรรมสีเขียว
1. Gold Digital & AI – ดิจิทัลและเอไอ
ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์จะเป็น “เงื่อนไขบังคับ” ของทุกประเทศ รวมถึงไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ในสังคมที่เข้าสู่สังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง
สภาอุตสาหกรรมฯ จึงจับมือกับกระทรวง อว. เดินโครงการ AFTI เพื่อยกระดับสมาชิกกว่า 16,000 บริษัทให้สามารถนำดิจิทัลและเอไอมาใช้ในกระบวนการผลิตและบริหารจัดการอย่างจริงจัง
2. Gold Innovation – นวัตกรรม
ในยุคที่ “ไม่มีใครแข่งผลิตของถูกกว่าจีนได้” การเอาตัวรอดของไทยต้องอยู่บนฐาน “นวัตกรรม” เท่านั้น ต้อง “จิ๋วแต่แจ๋ว”
สภาอุตสาหกรรมฯ จึงร่วมกับกระทรวง อว. ตั้งกองทุน “Innovation One” เพื่อแมตช์สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีกับสมาชิกภาคอุตสาหกรรม กองทุนนี้ใช้รูปแบบ Matching Fund ข้างละ 1,000 ล้านบาท รวม 2,000 ล้านบาท และมีแผนจะขยายเพิ่มเติมหลังจากประสบความสำเร็จในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
3. Go Go Go – หาตลาดใหม่ ลดพึ่งพาตลาดเดิม
โมเดลการกระจายความเสี่ยงของจีนเป็นตัวอย่างสำคัญ จากเดิมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กว่า 20% ของการส่งออก ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงระดับ “สิบกว่าเปอร์เซ็นต์” และตั้งเป้าไม่ให้เกิน 10% เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ใช้การกดดันทางการค้าเป็น “คอขวด” ได้อีก
ประเทศไทยจึงต้อง “Go Go Go” ออกไปหาตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง ไม่ยึดติดตลาดเดิมเพียงไม่กี่ประเทศ
4. Go Green – กติกาโลกสีเขียวและพลังงานสะอาด
โลกกำลังก้าวสู่กติกาใหม่ที่ “ผลิตถูกอย่างเดียวไม่พอ” แต่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และใช้พลังงานสะอาด การเข้าสู่มาตรฐานสีเขียวจึงเป็นทั้งเงื่อนไขการค้าและโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม
มุ่งNext Gen Industry, S-Curve, BCG และ “ไบโอ” ในฐานะแรร์เอิร์ธสีเขียวของไทย
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เป้าหมายของการปรับโครงสร้างคือการผลักดันไทยไปสู่ “Next Gen Industry – อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve รวม 12 กลุ่ม
โมเดล BCG (Bio–Circular–Green) โดยเฉพาะ “Bio” ที่สภาอุตสาหกรรมมองว่าเป็น “แรร์เอิร์ธสีเขียว” ของไทย เพราะไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและมีศักยภาพในการต่อยอดมูลค่า
จี้รัฐบาล:รื้อกฎหมาย–เร่ง FTA–บริหารน้ำ–ลงทุนคน
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุด สภาอุตสาหกรรมฯ สรุปข้อเสนอถึงภาครัฐใน 5 มิติหลักคือ
1. Next Gen Industryรัฐบาลต้องมีนโยบายเชิงรายละเอียดและสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเชิงสัญลักษณ์ โดยดูตัวอย่างจากความสำเร็จของประเทศจีนที่ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
2. กฎหมายล้าสมัยกฎหมายที่มีอยู่กว่าหนึ่งแสนฉบับต้องเร่ง “รื้อและลด” อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อคลี่คลายความยุ่งยากและซ้ำซ้อน ขณะนี้มีทีมของ ศ.บวรศักดิ์ ร่วมกับภาคเอกชนกำลังเดินหน้าทบทวนอยู่ แต่จำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน
3. BCG Model และการปรับกฎหมายให้สอดคล้องต้องทำ BCG Model ให้ “เต็มรูปแบบ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ พร้อมปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้จริง
4. FTA และโครงสร้างพื้นฐาน–น้ำเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) และ Free Trade/Free Zone ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง แต่ต้องจัดการน้ำให้ “เป็นประโยชน์” ต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรม
และสุดท้าย 5. Human Development – การพัฒนาคนทักษะสูงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต้องการแรงงานทักษะสูง ทักษะแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป ภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญกับการอัปสกิล–รีสกิลอย่างจริงจัง


