xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.เร่งเครื่องโครงการCCSเต็มสูบหนุนไทยบรรลุเป้าNet Zero 2050 ลุ้นมาตรการเข้มข้นจากรัฐก่อนชี้ขาดปรับเป้าหมายเร็วขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปตท.เดินหน้าโครงการCCS เพื่อผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายNet Zero 2050ได้ นำร่องโครงการCCSแหล่งอาทิตย์ของปตท.สผ. คาดว่าจะCODได้ในอีก3ปีข้างหน้า ส่วนโครงการEastern Thailand CCS Hub ค้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เบื้องต้นจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในปีค.ศ. 2031 ปตท.จะเลื่อนเป้าหมายNet Zeroให้เร็วกว่าที่กำหนดหรือไม่ รอดูมาตรการเข้มข้นที่ภาครัฐจะออกมาก่อนตัดสินใจ

นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT กล่าวเสวนาในหัวข้อ “Green Business 2026: พลังงานใหม่ ท่องเที่ยวยั่งยืน นวัตกรรมสีเขียว เจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทย”ในงานIBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026ว่า ความสมดุลด้านพลังงาน(Energy Trilemma) ต้องพิจารณา 3ปัจจัย คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และราคาต้องเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของปตท.ที่เข้ามาบริหารให้เกิดความสมดุล

ในอนาคตพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนนับวันจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) แต่ด้วยข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียนเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะไม่สามารถผลิตใช้ได้ 24ชั่วโมง ทำให้ก๊าซธรรมชาติยังมีบทบาทสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนฯ ดังนั้น ปตท.จึงมีทำ Decarbonization (การลดหรือกำจัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซเรือนกระจก)ควบคู่กันไป โดยเฉพาะโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage :CCS) และการนำไฮโดรเจนมาเป็นพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคต


ดังนั้นกลยุทธ์ของปตท.ในการผลักดัน Green Business โดยเชื่อมโยงความยั่งยืนในกลยุทธ์และทิศทางองค์กร ซึ่งปตท.วางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ในปีค.ศ.2050 ซึ่งเดิมเคยเร็วกว่าเป้าหมายประเทศไทยถึง 15ปี (เดิมไทยประกาศเป้าหมาย Net Zero ปีค.ศ.2065)

“ปัจจุบันเป้าหมายNet Zero ของปตท.กับประเทศไทยเป็นปีเดียวกันคือ ค.ศ. 2050 ดังนั้น ปตท.จะปรับเป้าหมาย Net Zeroใหม่ให้เร็วกว่าปีค.ศ. 2050 หรือไม่นั้น คงต้องขอดูมาตรการเข้มข้นที่จะออกของภาครัฐก่อนตัดสินใจ เพราะการลงทุนโครงการต้องมีความเป็นไปได้ รัฐต้องออกมาตรการที่เหมาะสม อาทิ  Carbon Tax”

สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายNet Zero ค.ศ. 2050 คือ C3 ประกอบด้วย C1 : Climate-resilience business โดยปตท.ลดพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง อาทิ การขายธุรกิจถ่านหินออกไป

C2 : Carbon conscious business ปตท.มีการเทคโนโลยีมาช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ซึ่งแต่ละปีกลุ่มปตท.มีการปล่อยคาร์บอนค่อนข้างสูงคิดเป็นสัดส่วน13-14%ของการปล่อยคาร์บอนของไทย

C3: Coalition-co creation and collective efforts for all เป็นการร่วมมือรวมพลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างประเทศ เพื่อผลักดันโครงการ CCS ซึ่งเป็นหัวใจความสำเร็จที่ทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายNet Zero ในปีค.ศ.2050


นายรัฐกร กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.มีแนวทางชัดเจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายNet Zeroตามที่วางไว้ ซึ่งมีหลายววิธีและมีต้นทุนที่แตกต่างกัน โดยเริ่มจากวิธีที่มีต้นทุนต่ำสุด คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การขายสินทรัพย์ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง การปลูกป่า ลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด ทำโครงการCCS และการใช้ไฮโดรเจน ซึ่งปตท.หวังว่าจะได้เข้าไปลงทุนในโครงการCCSและไฮโดรเจน เพื่อลดต้นทุนอย่างมีนัยะสำคัญ

นอกจากนี้ กลุ่มปตท.มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อาทิ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)หรือปตท.สผ. โดยนำAI มาใช้ในการสำรวจปิโตรเลียม รวมถึงใช้ในการวางแผนการผลิตและซ่อมบำรุง ทำให้มีEBITDA uplift 3,200 ล้านบาทต่อปี ,การนำAIมาใช้ในโรงแยกก๊าซฯ เพิ่ม EBITDA Uplift ได้ 610 ล้านบาทต่อปี ประหยัดเวลาได้ 27เท่า และกลุ่มปิโตรเคมีมีการใช้AI ในการผลิต ประหยัดต้นทุนได้ปีละ 50 ล้านบาท ลดการปล่อยCo2 ประมาณ 3พันตัน

ทั้งนี้ กุญแจแห่งความสำเร็จเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คือ พันธมิตร โดยปตท.ได้ร่วมมือกับพันธมิตร ประกอบด้วย 1.Technology การพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาคนเพื่อใช้เทคโนโลยี


2.Financial Instrument ภาครัฐต้องร่วมทำงานกับภาคเอกชน เพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมสอดคล้องทั้งเวลาและธุรกิจอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ได้ตรงจุด ทำให้การทำ Decarbonization เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน

3.Policy&Regulatory Unlock ประเด็น Decarbonization เป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีกฎระเบียบออกมา อาทิ การสำรวจพื้นที่เพื่อกักเก็บคาร์บอนในอ่าวไทย

4.Demand มีหลายเรื่องที่ต้องร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้เกิดขึ้น

โครงการอาทิตย์ CCS Project เป็นโครงการนำร่องของปตท.สผ. ที่นำองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์ของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ในปีพ.ศ. 2571 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมได้ในปริมาณมาก

นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายNet Zero ได้ตามกำหนดในปี2050 โครงการ Eastern Thailand CCS Hub ในพื้นที่EECชลบุรี ระยอง และเป็นโครงการใหญ่ใช้เงินลงทุนมหาศาล ในการนำคาร์บอนที่เกิดจากโรงงานไปเก็บไว้ที่EEC ก่อนขนส่งไปกักเก็บในทะเล คาดว่าจะเก็บคาร์บอนได้ปีละ 5-10ล้านตัน ซึ่งโครงการนี้จะเกิดได้ต้องได้รับความร่วมมือกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน เบื้องต้นคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย(FID)ในปีค.ศ.2031 และจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี ค.ศ.2034

โครงการดังกล่าวนอกจากจะลดคาร์บอนแล้ว ยังช่วยการจ้างงาน 1.1หมื่นคน และเพิ่มGDPได้ปีละ 1.8หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี โครงการ CCS ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านนโยบาย ด้านกฎหมาย และปัจจัยส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและองค์กรหลาย ๆ ฝ่ายในการผลักดันและส่งเสริมการนำเทคโนโลยี CCS มาใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น