เช็กผลงาน “นางศุภจี สุธรรมพันธ์ุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ในรอบ 1 เดือน นับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งและทำการมอบโยบายการทำงานให้กับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ จำนวน 7 นโยบาย ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่เน้นความร่วมมือกับทุกฝ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา จนบัดนี้ ระยะเวลาล่วงเลยมาแล้วกว่า 1 เดือน ปรากฎว่า Quick Big Win ส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติ และประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย สามารถตอบโจทย์ผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจที่ตั้งไว้ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว”
โดยทั้ง 7 นโยบาย ได้แก่ 1.การเจรจาภาษีสหรัฐฯ 2.การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการชายแดน 3.การเจรจา FTA และบุกตลาดใหม่ 4.การดูแลค่าครองชีพประชาชน 5.การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร 6.การเสริมแกร่งผู้ประกอบการ SME และ 7.การปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี
เจรจาภาษีไทย-สหรัฐฯ คืบหน้า
สำหรับนโยบายเรื่องแรก ที่ให้ความสำคัญกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ตั้งเป้าสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) ภายในเดือน ธ.ค.2568 มีความคืบหน้า คือ ไทยและสหรัฐฯ ได้สรุปผลแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา (Joint Statement on Framework for United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผ่านเว็ปไซต์ของทำเนียบขาว ช่วงเดินทางมาเข้าร่วมประชุมกับผู้นำอาเซียน
แถลงการณ์ฉบับนี้ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสองประเทศที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า สร้างสมดุลทางการค้า และเป็นกรอบแนวทางการเจรจาความตกลงทางการค้าต่างตอบแทน ที่จะต้องเจรจาในรายละเอียดภายหลังจากนี้ โดยนางศุภจีย้ำว่า แถลงการณ์นี้ มิได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เป็นกรอบแนวทางที่ใช้ในการหารือร่วมกันต่อไป และตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาภายในปลายปีนี้ ซึ่งการเจรจาครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งด้านภาษี มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี การค้าบริการ การลงทุน เศรษฐกิจดิจิทัล กฎถิ่นกำเนิดสินค้าและการป้องกันการหลบเลี่ยงอากร โอกาสในการจัดซื้อจัดจ้าง รวมไปถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกัน
นอกจากนี้ ในการรับมือเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้รับนโยบายนางศุภจี ทำการอบรมและให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin : ROO) การคำนวณสัดส่วนการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content : RVC) หลักเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้าไปสหรัฐฯ กฎถิ่นกำเนิดสินค้าของสหรัฐฯ และขั้นตอนการออก Form C/O เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และจะดำเนินการต่อไปอีก
ขณะเดียวกัน ได้ปรับปรุงกระบวนการเยียวยาทางการค้า ทั้งการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD-CVD) การป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) การป้องกันการหลีกเลี่ยง AD-CVD ให้เร็วขึ้น โดยนำ AI มาใช้ตรวจสอบในส่วนของการยื่นคำขอ และร่นกระบวนการไต่สวนให้เร็วขึ้น
ช่วยเกษตรกร-ผู้ประกอบการชายแดน
นโยบายข้อที่สอง นางศุภจีได้สั่งการให้เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกร ประชาชน และผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบไทย-กัมพูชา โดยล่าสุดได้มีการจัดงานธงฟ้า พ่วงธงเขียว นำสินค้าอุปโภคบริโภค และปุ๋ยเคมีและปัจจัยการเกษตร ราคาถูก ไปจำหน่ายให้กับประชาชน เกษตรกร โดยได้เริ่มจัดครั้งแรก ที่ จ.ศรีสะเกษ และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดต่อเนื่องให้ครบทุกจังหวัดติดชายแดน ทั้งสระแก้ว จันทบุรี ตราด บุรีรัมย์ สุรินทร์ และสระแก้ว
ในการจัดงานได้นำสินค้าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดน ที่ไม่สามารถขายสินค้าหรือส่งออกได้ มาจำหน่ายด้วย ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบได้จริง เพราะสามารถระบายสินค้าได้ และยังจะนำเข้าไปร่วมจำหน่ายในงานมหกรรมการค้าชายแดน ที่กรมการค้าต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดด้วย
นอกจากนี้ ขณะเดียวกัน กรมการค้าภายในได้ร่วมมือกับไปรษณีย์ไทย สนับสนุนค่าขนส่งให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน รายละ 1,000 บาท มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วกว่า 200 ราย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น
เร่งเจรจา FTA ขยายตลาดส่งออก
นโยบายข้อที่สาม การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) นางศุภจีได้เร่งรัดให้มีการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ให้มีความคืบหน้าและสำเร็จภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งล่าสุด ได้มีการประชุมรอบที่ 7 สามารถสรุปเพิ่มเติมได้ในเรื่องการเคลื่อนย้ายเงินทุน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนข้ามพรมแดน และการจัดทำกฎระเบียบสำหรับบริการสาขาการเงิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความโปร่งใสและเสถียรภาพในภาคการเงิน สำหรับการเจรจาเปิดตลาดการค้าระหว่างกันมีความคืบหน้าเป็นลำดับ ทั้งการเจรจาเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ และยังมีอีกหลายประเด็นที่ใกล้ได้ข้อสรุป โดยเหลือรายละเอียดในเชิงเทคนิค อาทิ มาตรการเยียวยาทางการค้า รัฐวิสาหกิจ ภาคผนวกสาขายานยนต์ และการแข่งขันทางการค้า
ขณะที่ FTA ไทย-เกาหลีใต้ นางศุภจีได้ใช้โอกาสช่วงการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปก ที่เกาหลีใต้ พบหารือกับนายยอ ฮัน-กู รัฐมนตรีการค้าของกระทรวงการค้าอุตสาหกรรมและทรัพยากรของเกาหลีใต้ โดยตั้งเป้าสรุปผลการเจรจา FTA สองฝ่ายให้สำเร็จโดยเร็ว และเห็นพ้องที่จะเริ่มต้นการเจรจาอัปเกรด FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ ที่มีผลบังคับใช้มากว่าสิบปีในปีหน้า และได้นัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ที่ไทยในปี 2569 รวมทั้งได้ผลักดันให้เกาหลีใต้เปิดตลาดให้สินค้าสําคัญของไทย อาทิ มะม่วง เนื้อไก่สดและปรุงแต่ง ปลาทูนากระป๋อง กุ้งปรุงแต่ง ผลิตภัณฑ์จากมันสําปะหลัง น้ำตาล และอาหารปรุงแต่ง
ส่วนการบุกเจาะตลาด และขยายตลาดให้กับสินค้าไทย นอกจากมอบนโยบายในภาพรวมให้มุ่งบุกเจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์ที่มีอยู่ 58 แห่งทั่วโลก หาตลาดให้กับสินค้าและบริการไทย เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอฟริกาใต้ อินเดีย และเวียดนาม และจะจัดคณะผู้แทนการค้าไปเจรจากับผู้นำเข้า และเชิญผู้นำเข้า ผู้ซื้อรายสำคัญมาเยือนไทย
นางศุภจียังได้เริ่มภารกิจหัวหน้าเซลล์วูแมน โดยได้ใช้โอกาสช่วงการเดินทางไปร่วมงานแสดงสินค้า CIIE 2025 ที่เซี่ยงไฮ้ มอบนโยบายการทำงานให้กับผู้อำนวยการสำนักงานในประเทศจีนของกระทรวงพาณิชย์ 9 แห่ง ได้แก่ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) 8 แห่ง ได้แก่ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว ชิงต่าว เซี่ยเหมิน เฉิงตู คุนหมิง และหนานหนิง โดยได้ขอให้ทำแผนเจาะตลาดจีนอย่างเข้มข้นต่อไป เพราะจีนเป็นตลาดอันดับหนึ่งของไทย
“วันนี้โลกการค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญกับนวัตกรรม คุณภาพ และความยั่งยืน ไม่ใช่ราคาถูกอีกต่อไป ทูตพาณิชย์จึงต้องเข้าใจและวิเคราะห์ให้ได้ว่าแต่ละมณฑลของจีนมีโอกาสและความท้าทายอย่างไร เพื่อกำหนดกลยุทธ์เจาะตลาดที่ตรงจุด โดยต้องเน้นการหาพาร์ตเนอร์ในจีน เน้นขายสินค้าให้สอดคล้องตามเงื่อนไข ความต้องการของตลาด เพื่อให้สินค้าไทยไปได้เร็ว ไปได้ใหญ่กว่าเดิม การทำงานต่อจากนี้จะไม่หยุดแค่การเจรจาจับคู่ธุรกิจหรือหาผู้กระจายสินค้า แต่ต้องก้าวไปอีกขั้น คือ การสร้างพันธมิตรลงทุนร่วมกันระหว่างเอกชนไทยและจีน เพื่อร่วมพัฒนาและผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคของจีน”นางศุภจีกล่าว
Quick Big Win ของแท้ลดค่าครองชีพ
นอกจากการลดค่าครองชีพตามภารกิจที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้า ที่ตั้งเป้าจัด 1,300 ครั้ง และการจัดลดราคาสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ เปิดเทอม คาดหวังลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี นางศุภจีได้ขับเคลื่อนนโยบายข้อที่สี่ ที่ให้ความสำคัญกับการลดภาระค่าครองชีพ ชนิดที่เรียกว่า เป็น Quick Big Win จริง ๆ ก็คือ การผลักดันโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อยานอกโรงพยาบาลได้
โครงการนี้ นายกรัฐมตรีได้เป็นประธานคิกออฟโครงการ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมกระทรวงพาณิชย์ที่คิดโครงการดี ๆ เช่นนี้ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนได้ชนิดถล่มทลาย จากการที่ไม่ต้องจ่ายค่ายาในราคาแพง ๆ คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้สูงถึง 32,000 ล้านบาทต่อปี
โดยปัจจุบัน มีโรงพยาบาเอกชนเข้าร่วมแล้ว 345 แห่ง และมีร้านขายยาเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 3,400 แห่ง ประชาชนที่เข้าไปใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชน จะรู้เลยว่า ได้รับยาอะไรบ้าง และราคายาเท่าไร แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อยากับโรงพยาบาล สามารถนำใบสั่งยาไปซื้อยาที่ร้านขายยาข้างนอกได้
ล่าสุดนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ไปทดลองใช้บริการด้วยตนเอง ที่โรงพยาบาลพระราม 9 เข้าไปตรวจร่างกาย ทั้งความดัน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง นอนไม่หลับ ปรากฏว่า ได้ยามา 5 ชนิด เป็นยาที่หาซื้อข้างนอกได้ 4 รายการ และเป็นยาเฉพาะ 1 รายการ มีราคาค่ายารวมทั้งหมด 10,370 บาท ได้แจ้งกับโรงพยาบาลว่าขอไปซื้อยาเอง คงเหลือยาที่ต้องซื้อกับโรงพยาบาล 1 รายการ เพราะเป็นยาเฉพาะ หาซื้อข้างนอกไม่ได้ เหลือต้องจ่ายค่ายาเพียง 1,670 บาท รวมค่าตรวจ ค่าบริการทางการแพทย์ และค่ายาควบคุมพิเศษ ส่วนที่เหลือจะนำใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยานอกโรงพยาบาล ในราคา 3,863 บาท ซึ่งราคาถูกกว่าของโรงพยาบาลที่ 8,700 บาท มีส่วนต่าง 4,837 บาท
ขายข้าวจีน-สิงคโปร์ดันราคาในประเทศ
สำหรับนโยบายข้อที่ห้า นางศุภจีได้ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินอุปสงค์อุปทานล่วงหน้า ผลผลิตเท่าไร ส่งออกเท่าไร เพื่อจะได้บริหารจัดการให้เหมาะสม จะเร่งหาตลาดใหม่ ทั้งลูกค้าเดิม ลูกค้าใหม่ กำหนดมาตรการดูแลการนำเข้า สินค้าไม่ได้มาตรฐานห้ามนำเข้า ส่วนระยะยาวจะเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ผลักดันปลูกพืชอื่นที่มีมูลค่าสูง
ทั้งนี้ ในส่วนของสินค้าข้าว ได้มีมาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ออกมาแล้ว เน้นให้สินเชื่อชะลอการขาย โดยเกษตรกรเก็บข้าวในยุ้งฉาง ได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน ให้สินเชื่อรวบรวมข้าวสถาบันเกษตรกร 1.5 ล้านตัน ชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสีเก็บสต๊อกข้าว 4 ล้านตัน โดยกรมการค้าภายในได้ขับเคลื่อนมาตรการเหล่านี้แล้ว มีโรงสีเข้าร่วม 217 ราย จาก 44 จังหวัดทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน จะเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) พิจารณาให้ 3 หน่วยงาน คือ องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร เป้าหมาย 3 ล้านตัน ในราคานำตลาด เพื่อช่วยดึงราคาข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมาก
ส่วนการหาตลาดรองรับผลผลิตข้าว นางศุภจีได้ผลักดันให้มีการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับจีน ปริมาณ 5 แสนตัน และมีความคืบหน้า คือ นายกรัฐมนตรีได้บรรลุข้อตกลงกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจา และยังได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์ ปริมาณ 1 แสนตันภายใน 5 ปี ซึ่งหากสำเร็จทั้งสองดีล จะทำให้ข้าวที่กำลังออก มีตลาดรองรับ และผลักดันให้ราคาในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้ผลักดันให้เกษตรกรปลูกพืชมูลค่าสูงแทนปลูกข้าว โดยที่ได้ทำแล้ว เช่น กล้วย และกำลังเริ่มอะโวคาโด ปลูกในสวนลำไย โดยขอเกษตรกรให้เปิดใจ ลองทำจากน้อย ถ้าได้ผลดีก็ค่อยทำมาก
ผลักดันสินค้าชุมชน-เสริมแกร่ง SME
ส่วนนโยบายข้อที่หก นางศุภจีให้ความสำคัญกับการหาตลาดให้กับผู้ประกอบการชุม ผู้ประกอบการ SME โดยต้องช่วยพัฒนาศักยภาพ ตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจ การทำบัญชี การค้าขายออนไลน์ เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทยและต่างประเทศ
โดยผลการดำเนินการ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ตั้งเป้าผลักดันขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) อย่างน้อย 5 สินค้าในช่วง 4 เดือน โดยมีสินค้าท้องถิ่นที่มีศักยภาพ อาทิ ทุเรียนชุมพร กกเหล่าพัฒนา (นครพนม) ไก่เบตงยะลา ผ้าทอนาหมื่นศรี (ตรัง) และมะยงชิดแม่ย่าสุโขทัย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SME ทั้งการพาออกไปทำตลาดต่างประเทศ การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การเพิ่มพูนความรู้การทำธุรกิจ การผลักดันร้านอาหาร Thai SELECT ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดมีร้านอาหารในประเทศที่ได้รับตราสัญลักษณ์แล้ว 462 ร้าน ต่างประเทศ 915 ร้าน และยังมีการช่วยเหลือให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุน
แก้ไขกฎระเบียบกฎหมายล้าหลัง
สำหรับนโยบายข้อสุดท้าย ข้อที่เจ็ด นางศุภจีให้เน้นให้มีการปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบ เพื่อลดอุปสรรคในการดำเนินงานของภาคเอกชน และให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนางานบริการเพื่ออำนวยความสะดวก และการใช้ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกิจ และทำให้การทำธุรกิจมีความคล่องตัว ซึ่งขณะนี้ หลาย ๆ กรมในกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งการจดทะเบียนนิติบุคคลออนไลน์ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการการส่งออก-นำเข้า การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา รวมไปถึงการให้คำปรึกษาเรื่องต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งหมดนี้ เป็นความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย Quick Big Win จำนวน 7 ข้อที่นางศุภจีประกาศเอาไว้ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งปรากฏว่า มีความคืบหน้าทุกนโยบาย และในช่วงที่เหลืออีก 3 เดือน ของรัฐบาลชุดนี้ นางศุภจีย้ำว่า จะมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้รอจับตาดูได้เลย รับรองตรงตามคอนเซ็ปต์ที่ตั้งไว้ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว” และมั่นใจว่าจะเป็นแรงขับส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง


