“ศุภจี” มอบนโยบายผู้อำนวยการสำนักงานที่ประจำอยู่ในจีน 9 แห่ง เดินหน้าสร้างโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าไทย เผยวันนี้โลกการค้าเปลี่ยน ผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญสินค้านวัตกรรม คุณภาพ ความยั่งยืน ต้องเข้าใจและวิเคราะห์ให้ได้แต่ละมณฑลมีโอกาสและความท้าทายอะไร ให้เน้นหาพาร์ตเนอร์ สร้างพันธมิตร และติดตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจจีนฉบับที่ 15 เพื่อวางกลยุทธ์เจาะตลาดให้เหมาะสม พร้อมถกภาคเอกชน รับฟังข้อเสนอแนะ แนวทางร่วมมือทำงาน
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานในประเทศจีนของกระทรวงพาณิชย์ 9 แห่ง ได้แก่ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) 8 แห่ง ได้แก่ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว ชิงต่าว เซียะเหมิน เฉิงตู คุนหมิง และหนานหนิง ณ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้สำนักงานในจีนทุกแห่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง เพราะจีนเป็นตลาดอันดับหนึ่งของไทย โดยมีมูลค่าการค้าไทย-จีนในช่วง 9 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) สูงถึง 108,639.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.08% เป็นมูลค่าการส่งออกของไทย 30,667.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.13% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของสินค้าไทยในตลาดจีนที่ยังเติบโตได้อีกมาก
“วันนี้โลกการค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญต่อนวัตกรรม คุณภาพ และความยั่งยืน ไม่ใช่ราคาถูกอีกต่อไป ทูตพาณิชย์จึงต้องเข้าใจและวิเคราะห์ให้ได้ว่าแต่ละมณฑลของจีนมีโอกาสและความท้าทายอย่างไร เพื่อกำหนดกลยุทธ์เจาะตลาดที่ตรงจุด โดยต้องเน้นการหาพาร์ตเนอร์ในจีน เน้นขายสินค้าให้สอดคล้องตามเงื่อนไข ความต้องการของตลาด เพื่อให้สินค้าไทยไปได้เร็ว ไปได้ใหญ่กว่าเดิม การทำงานต่อจากนี้จะไม่หยุดแค่การเจรจาจับคู่ธุรกิจหรือหาผู้กระจายสินค้า แต่ต้องก้าวไปอีกขั้น คือ การสร้างพันธมิตรลงทุนร่วมกันระหว่างเอกชนไทยและจีน เพื่อร่วมพัฒนาและผลิตสินค้าให้ตรงความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคของจีน” นางศุภจีกล่าว
ทั้งนี้ ยังได้มอบหมายให้ปรับกลยุทธ์การทำงานให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 ที่นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศในพิธีเปิดงานแสดงสินค้า China International Import Expo 2025 (CIIE 2025) โดยรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว นวัตกรรม เทคโนโลยี และการเพิ่มรายได้ของชนชั้นกลาง
โดยจะถอดรหัสแผนพัฒนา 5 ปีของจีนเพื่อดูว่าไทยสามารถตอบโจทย์ได้ตรงจุดไหน เช่น สินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารสัตว์ อาหารสุขภาพ เกม และสินค้าดิจิทัล เพราะจีนกำลังต้องการขยายกลุ่มประชากรที่มีรายได้ปานกลางจาก 400 ล้านคน เป็น 800 ล้านคน นั่นหมายถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ไทยต้องเข้าให้ถึง
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานในประเทศจีนของกระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอโอกาสและความท้าทายในจีนของแต่ละภูมิภาค และนำเสนอโอกาสและสินค้าเป้าหมายของไทยในจีน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ช่น ข้าว ผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน มะม่วง มังคุด รวมถึงอาหารแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน และเครื่องปรุงรส 2. กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง เพื่อตอบรับกระแสรักสัตว์ในสังคมเมืองของจีน 3. กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม เช่น รังนก โปรตีนจากพืช น้ำมะพร้าว ผลิตภัณฑ์สปา และบริการสุขภาพ 4. กลุ่มสินค้ารักษ์โลกและความยั่งยืน เช่น บรรจุภัณฑ์ย่อยสลาย เครื่องสำอางออร์แกนิก เสื้อผ้ารีไซเคิล ของตกแต่งบ้านจากวัสดุธรรมชาติ และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และ 5. กลุ่มสินค้านวัตกรรมและดิจิทัลคอนเทนต์ เช่น สินค้าทรัพย์สินทางปัญญา ภาพยนตร์ เกม และแอนิเมชัน
นอกจากนี้ นางศุภจียังได้ใช้โอกาสนี้ หารือกับภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจในจีน ได้แก่ นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน นายวิชัย ทวีสิน รองประธานหอการค้าไทยในจีนและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหยูเนียน (ประเทศจีน) นายสิทธิชัย จิวัฒน์ธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงเทพ (ประเทศจีน) นางศิริพร เริงจิตต์ ประธานธนาคารกสิกรไทย (ประเทศจีน) และนายไพบูลย์ ประภัสสรชัยกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จีซี มาร์เก็ตติ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด (ในเครือ ปตท.) เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการดำเนินธุรกิจในจีน โดยเอกชนได้เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนด้านอีคอมเมิร์ซ การสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทย และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชนไทยกับรัฐบาลท้องถิ่นของจีน เพื่อขยายโอกาสทางการค้าในมิติใหม่ๆ


