โลกยุคปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ แนวคิดการพัฒนา "เมืองอัจฉริยะ" (Smart City) จึงกลายเป็นทิศทางสำคัญในการพัฒนาเมืองทั่วโลก นั่นเพราะเมืองอัจฉริยะไม่ได้หมายถึงเพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเดียว แต่เป็นการรวบรวมเทคโนโลยี การสื่อสาร และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) รวมไปถึง AI เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
สำหรับประเทศไทยเอง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะภายใต้ แผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะประเทศไทย เพื่อยกระดับเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศ สามารถใช้เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาเมือง ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้กับประชาชน และยังเป็นโอกาสสำคัญที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำมาปรับใช้ได้ตามศักยภาพและบริบทของพื้นที่
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ เทศบาลเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผลักดัน Smart City ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 24 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสามารถทำได้จริงและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แม้จะไม่ใช่เมืองใหญ่ก็ตาม
นายกริณย์พล ไชยยาพิบูล นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ เล่าให้ฟังถึงการทำงานกว่าจะมาเป็นวันนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
เขาอธิบายว่า แม่เหียะเป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ ถือเป็น "ไข่แดง" ของจังหวัดที่มีศักยภาพสูง มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญใกล้เคียง เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ และในอนาคตอาจมีโครงการกระเช้าขึ้นดอยสุเทพ การเดินทางสะดวก ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียง 2 กิโลเมตร ทำให้เมืองขยายตัวเร็ว ปัจจุบันมีจำนวนประชากรประมาณ 2 หมื่นคน ซึ่งมีความหลากหลาย ประกอบด้วยทั้งชุมชนดั้งเดิม นักธุรกิจ นักวิชาการ และครู อาจารย์
"เราต้องเตรียมเมืองให้พร้อมรองรับการเติบโต ต้องเตรียมทั้งคน ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของแม่เหียะมุ่งเน้นการบริการประชาชนเป็นหลัก โดยนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาจริงและสร้างประโยชน์ที่จับต้องได้กับชาวบ้านในพื้นที่และเป็น Smart City จริง ๆ โดยเฉพาะการบริการประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น” นายกริณย์พล กล่าว
ตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา ที่ผ่านมาเทศบาลพัฒนาระบบคำร้องออนไลน์ผ่าน Line ให้ประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ หรือแจ้งซ่อมได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ระบบมีหมายเลขติดตามเรื่องและเชื่อมต่อกับ One Stop Service เพื่อส่งต่อความรับผิดชอบ ซึ่งตอนนี้สามารถตอบสนองการทำงานได้เต็ม 100% เช่น พอมีเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่จะไปดำเนินการทันที อีกทั้งระบบนี้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่ม AI เข้ามาช่วยคัดกรองและจัดลำดับความสำคัญด้วย
ขณะเดียวกันเทศบาล ยังติดตั้งกล้อง CCTV ประมาณ 300 กว่าจุดทั่วเมือง โดยร่วมมือกับตำรวจในการติดตามเหตุการณ์ ผลคือปัญหาการลักขโมยลดลงเหลือเพียง 0.5% โดยนายกระบุว่า "สมัยก่อนยังมีปัญหาการลักขโมยค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้แทบจะไม่มีเลย นั่นจึงแสดงประสิทธิภาพของระบบในการป้องกันอาชญากรรม ด้วยเทคโนโลยี”
รวมไปถึงการใช้โดรนสำรวจข้อมูลพื้นที่ทุก 3 เดือน เพื่อเก็บข้อมูลบ้านครัวเรือน รายละเอียดผู้อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ ระบบสามารถแสดงข้อมูลบนแผนที่แบบเจาะลึกถึงแต่ละบ้าน ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจาก 30-40% เพิ่มขึ้นเป็น 80-85% และจะนำภาษีไปพัฒนาท้องถิ่นต่อไป
นายกริณย์พล กล่าวด้วยว่า โครงการล่าสุดที่ทางแม่เหียะให้ความสำคัญคือระบบสัญญาณเตือนภัยน้ำท่วม เนื่องจากแม่เหียะเคยประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลันจากน้ำป่าหลาก ทำให้บ้านเรือนเสียหาย เทศบาลจึงนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีกล้องจับสัญญาณความลึกน้ำผ่านเลเซอร์เข้ามาใช้ เมื่อน้ำสูงถึงระดับอันตราย ระบบส่งสัญญาณเตือนผ่านโทรศัพท์และไลน์ตรงถึงผู้บริหาร สามารถประกาศเตือนประชาชนได้ทันที
อย่างไรก็ดีในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่ยังคงต้องพัฒนาต่อไปอีกมาก โดย นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ ยอมรับว่า เทศบาลมีความตั้งใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart City Expo 2025 อย่างเต็มที่ เพื่อศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเทศบาลสนใจเป็นพิเศษใน 3 ด้านหลัก นั่นคือ 1.ระบบไอทีและการบริการประชาชน เพื่อพัฒนาต่อยอดระบบที่มีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.ระบบการขนส่งและจราจร เนื่องจากเป็นเมืองที่เติบโตเร็วและอยู่ใกล้สนามบิน และ 3.การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาคุณภาพอากาศที่ดีของเมือง
โดยเห็นว่า งานดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะสามารถเปิดมุมมองความคิด การศึกษาหาความรู้ และการนำมาปรับหรือประยุกต์ใช้ในพื้นที่ได้จริง ตัวอย่างเช่นการจัดงาน Thailand Smart City เมื่อปีที่ผ่านมา เทศบาลได้พบปะหารือกับบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ภายในงาน และนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีไปปรับใช้ในพื้นที่ได้มาก โดยเทศบาลเปิดรับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย บริษัทเอกชน และองค์กรที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนา เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้าน
จึงมองว่าการเข้าร่วมงาน Thailand Smart City Expo 2025 เป็นโอกาสเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่จะผลักดันแม่เหียะสู่เมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สำหรับผู้สนใจศึกษาแนวทางพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เหมาะกับเมืองขนาดกลางและเมืองเล็ก โมเดลแม่เหียะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่สามารถเริ่มต้นได้จากการแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างจริงจัง และค่อยๆ ขยายผลไปสู่ระบบที่ครบวงจรต่อไป
"เทศบาลจะยังคงพัฒนาระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการใช้ แต่ต้องสร้างคุณค่าและประโยชน์ที่จับต้องได้ และยินดีที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา จะได้เอาความรู้ไปใช้ในงานได้ทันที เพราะตนเองถือว่าเป็นนักบริหารใหม่ แต่อยู่ท้องถิ่นมานานถึง 20 ปี องค์กรไหนที่เข้ามาหารือเรื่องการทำงานร่วมกันกับภาครัฐเอกชน ถ้าได้ประโยชน์กับองค์กรท้องถิ่นและพี่น้องประชาชน ก็ยินดีให้ความร่วมมือ" นายกริณย์พล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart City Expo 2025 สามารถเข้าชมงานได้ในวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00–18.00 น. ณ ฮอลล์ 3–4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)


