การตลาด – สรุปบทเสวนาโต๊ะกลม “ถกกระแสคนละครึ่งพลัส ความหวังร้านอาหารและปากท้องคนไทย” ชี้เป็นโครงการที่ดี กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าได้เต็มที่ แต่หวั่นว่าจะเป็นแค่การฉีดสเตียรอยด์ ฟื้นเศรษฐกิจให้คึกคักแค่ช่วงสั้น 2 เดือน แล้วกลับมาซบเซาเหมือนเดิม แนะรัฐต้องเคลียร์เรื่องระบบจัดเก็บภาษีให้ชัดเจน จี้รัฐต้องมีมาตรการต่อเนื่องกระตุ้นรอบด้านครอบคลุม
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถูกจับตามองในฐานะมาตรการสำคัญที่เป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งไม่เพียงช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน แต่ยังสร้างโอกาสให้ร้านอาหารเล็กทั่วประเทศเข้าถึงผู้บริโภคและต่อยอดการเติบโตได้จริง LINE MAN ในฐานะเบอร์ 1 คนละครึ่งดีลิเวอรี่ จัดเวทีสนทนาโต๊ะกลม “ถกกระแสคนละครึ่งพลัส ความหวังร้านอาหารและปากท้องคนไทย”
สะท้อนบทบาทของแพลตฟอร์ม พร้อมหยิบยกประเด็นจริงที่สังคมกำลังเผชิญ ทั้งความกังวลด้านภาษีและความหวังของผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเติบโตมากกว่าการเพียงอยู่รอ เพื่อผลักดันให้เกิดมาตรการสนับสนุนที่ต่อเนื่องเป็นระบบ และเหมาะสมกับร้านค้าทุกขนาด โดยมี “คนละครึ่ง” เป็นต้นแบบความร่วมมือที่พิสูจน์แล้วว่าควรได้รับการต่อยอดอย่างยั่งยืน
สรุปบทสนทนา ด้วยข้อมูลที่น่าสนใจจากเวทีสนทนาโต๊ะกลม ถกกระแสคนละครึ่งพลัส ความหวังร้านอาหารและปากท้องคนไทย
*** ดันยอดขายร้าน 20% - ดึงลูกค้าใหม่เข้าดีลิเวอรี่
นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai สรุปสถิติที่น่าสนใจของ คนละครึ่ง รอบก่อนหน้านี้ว่า จากสถิติความสำเร็จคนละครึ่งบน LINE MAN รอบก่อนหน้ามีร้านกว่า 100,000 ร้านเข้าร่วมบนระบบดีลิเวอรี และกว่า 70% ของร้านค้าที่เข้าร่วมเลือกขายบนแพลตฟอร์ม LINE MAN ขณะที่กว่า 90% ของยอดการใช้สิทธิคนละครึ่งบนแพลตฟอร์มดีลิเวอรี่ทั้งหมดเกิดขึ้นบน LINE MAN สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำตลาดและความเชื่อมั่นจากทั้งร้านค้าและผู้บริโภคอย่างแท้จริง
โครงการ คนละครึ่ง ยังช่วยสร้างการเติบโตให้ยอดขายเฉลี่ย 1-5 เท่า บางร้านเติบโตสูงสุดถึง 16 เท่า ตอกย้ำว่าโครงการนี้สร้างการเติบโตที่จับต้องได้และยั่งยืนให้กับร้านอาหารทั่วประเทศ
LINE MAN ยังมีการช่วย Up-Skill และ Re-Skill ร้านค้าเพิ่มเติม โดยมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ร่วมกับ Depa เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และการใช้เทคโนโลยีอย่างซอฟต์แวร์จัดการร้าน หรือ POS เพื่อมุ่งสร้างความเติบโตให้ร้านค้า ปูทางไปสู่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของร้านค้า ซึ่งทาง LINE MAN มีการสนับสนุนโซลูชันตรงนี้ให้พร้อม
นอกจากนี้ ยังมีการช่วยเหลือร้านค้าในด้านอื่นเพิ่มเติม ได้แก่ ลดค่า GP เหลือ 7%, ส่งฟรี 5 กิโลเมตรแรก, อัดงบการตลาด 300 ล้านบาท ผ่านแคมเปญต่าง ๆ และสร้างความมั่นใจด้วยพรีเซ็นเตอร์อย่างพี่หนุ่ม กรรชัย ส่วนการสนับสนุนไรเดอร์จะมีการเพิ่มเงินอัดฉีดในไรเดอร์เพื่อรองรับปริมาณงานที่มากขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการคนละครึ่งพลัส จะสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านค้าที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์มไลน์แมนช่วงเดือนแรกเติบโตประมาณ 20-30% อีกทั้งคาดว่าจะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ที่ไม่เคยสั่งดีลิเวอรีเข้ามาได้เป็นหลักล้านคน
สำหรับร้านอาหารที่สมัครเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ผ่าน LINE MAN ที่แอปถุงเงิน ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน เป็นต้นไป จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้
1. รับ 7% GP สำหรับออเดอร์คนละครึ่งพลัส เมื่อสมัครเข้าร่วมโครงการกับ LINE MAN ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 หรือรับ 9% GP สำหรับออเดอร์คนละครึ่งพลัส ที่สมัครเข้าร่วมโครงการหลังวันดังกล่าวจนจบโครงการ ซึ่งโดยทั่วไปอัตรามาตรฐานค่า GP ของแพลตฟอร์มจะอยู่ที่ประมาณ 30-35% แต่อาจมีอัตราพิเศษที่แตกต่างกันไปตามประเภทของร้านค้าหรือแคมเปญที่เข้าร่วม
2. คูปองส่วนลดเร่งยอดขายสำหรับร้านค้าเพื่อนำไปทำโปรโมชันสูงสุด 4,000 บาท
3. LINE MAN ออกส่วนลดให้ลูกค้าเพิ่ม 2,500 บาท
4. เครดิตโฆษณาเพิ่มการมองเห็นของร้านในแอปพลิเคชัน สูงสุด 1,000 บาท
5. ขยายระยะทางส่งฟรีเป็น 5 กิโลเมตร
6. สื่อโฆษณา ณ จุดขาย (POSM) เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าร้านสามารถสั่งผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ได้
7. ส่วนลดค่าบริการระบบจัดการร้านอาหาร (POS) สูงสุด 8,000 บาท
8. วงเงินกู้เพื่อร้านค้า นำไปใช้ต่อยอดธุรกิจ
9. กิจกรรมทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายร้านอาหารทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง
*** เหมือนฉีดสเตียรอยด์ คึกคักแค่ 2 เดือน
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ให้ความเห็นว่า หากมองกันแล้วโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ก็เป็นเหมือน "การฉีดสเตียรอยด์" เข้าไป ที่ทำให้เมื่อฉีดแล้วจะทำให้เศรษฐกิจฐานรากของไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนนี้ และรัฐบาลชุดนี้ ฉลาดและแก้ไขจุดอ่อน จากโครงการที่ผ่านมาได้ดี แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการเองก็ยังคงคาดหวังว่า รัฐบาลจะมีการปล่อยมาตรการอื่นๆออกมาต่อเนื่องที่ครอบคลุมมากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะเป็น มาตรการช่วยกระตุ้นการส่งออก มาตรการช่วยเหลือทางด้าน อสังหาริมทรัพย์ มาตรการช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น
ขณะที่ก่อนหน้านี้ สมาคมภัตตาคารไทย ก็ได้ยื่นข้อเสนอข้อเสนอเพิ่มเติมให้กัียภาครัฐบาล เช่น การขอให้ผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟสต่อไปได้ด้วย โดยเฉพาะนิติบุคคลที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือกลุ่มร้านค้าที่มียอดขายประมาณ 10,000 – 30,000 บาทต่อวัน
ทั้งนี้ สมาคมภัตตาคารไทย ได้ประเมินเอาไว้ว่า ร้านอาหารบางส่วนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส คาดว่าจะมียอดขายเติบโต10-20% จากการเข้าร่วมโครงการนี้ อีกทั้งคาดว่าโครงการนี้จะสามารถกระตุ้นตลาดรวมของร้านอาหารได้มากถึง 700,000 ล้านบาท จากเดิมที่ประมาณเอาไว้ช่วงต้นปีว่าจะอยู่แค่ 600,000 – 640,000 ล้านบาท
ขณะที่บทบาทในการร่วมผลักดันร้านอาหารในโครงการได้ผลักดันเรื่องคนละครึ่งอีกครั้งตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์ เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจแย่มาก และร้านอาหารต้องการทางรอด
โดยมีหลักฐานจากข้อมูลที่ปรึกษาร่วมกับ “ยอด ชินสุภัคกุล” CEO LINE MAN Wongnai สนับสนุนว่า ยอดขายร้านอาหารเติบโตขึ้นได้จริงในช่วงที่มีคนละครึ่งความสำเร็จหลังจากผลักดันโครงการคนละครึ่งร่วมกับ LINE MAN ทางรัฐบาลชุดปัจจุบันรับหลักการ ให้มีโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งถือเป็น ของขวัญที่ดีที่สุด สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและ Micro SME อื่น ๆ (ร้านสปา, ร้านตัดผม, ขนส่งสาธารณะ, ชุมชน)
ผลที่ได้คือ ร้านไซซ์ S (ยอดขาย 15,000 - 30,000 บาทต่อวัน) และ Micro SME (ร้านรายได้ไม่เกิน 5,000 ต่อวัน) รวมจำนวนกว่า 600,000 ได้เข้าร่วม ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของ ขนส่ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
เรื่องการเสียภาษีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร้านค้าเติบโตได้ ซึ่งรัฐก็ควรช่วยเหลือ แม้ว่าร้านเล็กกลัวว่าถ้าบวก 7% ขึ้นไป ลูกค้าจะไม่กิน เพราะต้องขายแพงขึ้น ในความเห็นสมาคม คิดว่ารัฐควรให้ Value สร้างแรงจูงใจ และควรขยายการเข้าร่วมของร้านที่มีรายได้ 1.8 ล้านขึ้นไป เพราะตอนนี้ต้นทุนร้านอาหารสูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษีป้าย ประกันสังคมที่เจ้าของต้องทำให้ลูกจ้าง
*** อย่ากลัวภาษี แต่เป็นโอกาสสร้างการเติบโต
นายคุณาพงศ์ เตชวรประเสริฐ กูรูร้านอาหาร เจ้าของเพจขายดีไปด้วยกัน กล่าวให้ความเห็นว่า โครงการ “คนละครึ่ง” คือโอกาสทองร้านอาหาร แนะร้านไม่ต้องกลัวภาษี แต่มองว่าเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโต
จากเสียงสะท้อนของร้านค้าทั่วประเทศ พบว่าผู้ประกอบการรายใหม่ยังมีความลังเลในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เนื่องจากกังวลเรื่องภาษี ขณะที่ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมมาก่อนเห็นตรงกันว่าโครงการนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าได้จริง โดยเฉพาะเมื่อมีการขายผ่านแพลตฟอร์มดีลิเวอรีทำให้เข้าถึงลูกค้าได้สะดวกและครอบคลุมมากขึ้น แม้จะมีความกังวลบางอย่าง แต่โดยภาพรวมร้านค้าและผู้บริโภคต่างตื่นตัวและรอคอยการกลับมาของโครงการในรอบใหม่นี้อย่างคึกคัก
ในมุมของเจ้าของร้านข้าวมันไก่ที่มียอดขายบน LINE MAN กว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน มองว่าการเสียภาษีไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะการอยู่ในระบบภาษีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและต่อยอดสู่การขยายกิจการได้ในอนาคต พร้อมเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการนิติบุคคลมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจร้านอาหารไทยให้แข็งแกร่งในระยะยาว
การใช้ดีลิเวอรีเป็นช่องทางที่สะดวกมาก ไม่อยากให้ร้านค้าลังเลที่จะเข้าร่วม ซึ่งจากประสบการณ์การใช้ส่วนตัวมองว่า LINE MAN ตอบโจทย์ ร้านค้ามั่นใจถึงระบบการใช้งานที่เสถียร ไม่ค้าง ซึ่งจากโครงการรอบที่แล้วแอป LINE MAN ก็ไม่มีปัญหา ช่วยให้การจัดการร้านเป็นได้สะดวกรวดเร็ว
*** “คนละครึ่ง” เพิ่มศักยภาพร้านเล็ก
นายธนันท์รัท เกื้อหนุน เจ้าของร้านตำยำยั่ว by โบตั๋น ตัวแทนร้านที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งถือได้ว่าเป็น มาตรการที่จะช่วยให้ร้านค้าร้านเล็กเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้มากขึ้นและสามารถดันยอดขายให้เติบโตได้ด้วยแพลตฟอร์มดีลิเวอรี โครงการคนละครึ่งเป็นความหวังของผู้ประกอบการ เพราะเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และการมีดีลิเวอรียังทำให้ความแออัดหน้าร้านน้อยลง ทำให้ร้านยอดขายโตขึ้น 2-3 เท่า รวมทั้งยังทำให้ร้านเราเป็นที่จดจำมีตัวตนกับลูกค้าเพิ่มขึ้น เช่น การมีรีวิวที่ดีบน LINE MAN ทำให้ร้านเล็กมีศักยภาพสู้กับร้านใหญ่ได้ดีขึ้น
ในส่วนการเตรียมตัวเข้าร่วมโครงการคือ การเทรนพนักงานว่าไม่ควรจัดการออเดอร์หนึ่งนานเกิน 15 นาที เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ร้านค้าและไรเดอร์ไม่ต้องรอนาน ความพิเศษของ LINE MAN ในรอบนี้คือ ลดค่า GP เหลือ 7% จึงอยากเชิญชวนให้ร้านค้าเข้าร่วม เพราะช่วยสร้างการเติบโตของยอดขายได้จริง
*** ต้องต่อยอดหลังจบโครงการ
“เจ้เอ๋-ณัฐฐารินทร์” เจ้าหนี้คนดัง ตัวแทนประชาชนผู้ใช้คนละครึ่ง มองว่า เกิดบรรยากาศความคึกคักจากการเปิดใช้คนละครึ่งวันแรก อีกทั้งยังขอเป็นตัวแทนส่งเสียงถึงภาครัฐ เพื่อเดินหน้าให้ความรู้ด้านภาษีกับประชาชนอย่าวทั่วถึงด้วย
ในมุมมองของผู้บริโภคจากจังหวัดสระบุรี พบว่าผู้ประกอบการร้านค้ามีความคึกคักสูงมาก เพราะการมีคนละครึ่งทำให้คนรู้สึกคุ้มค่าที่จะจ่าย และยังเป็นโอกาสให้ร้านเป็นที่รู้จักเพิ่ม นำไปสู่การต่อยอดโอกาสการขายใหม่ ๆ ในอนาคตแม้โครงการจะจบลงไปแล้ว เม็ดเงินจากคนละครึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายไปทุกหย่อมหญ้าในชุมชนได้จริง ถ้าชาวบ้าน ร้านค้า และไรเดอร์ เมื่อยอดมาคึกคักทุกคนก็มีความหวัง ได้เลี้ยงปากท้อง
ส่วนที่ต้องการให้รัฐช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมคือ อยากให้รัฐมาช่วยให้ความรู้เรื่องภาษี เพราะชาวบ้านร้านค้าไม่เข้าใจเรื่องระบบภาษี ทำให้ร้านค้ากลัวที่จะเข้าโครงการ โดยการให้ความรู้จะเป็นพื้นฐานที่ทำให้ร้านค้าเข้าใจและกล้าเข้าร่วมโครงการมากขึ้น และนำไปสู่การเติบโตได้
ผูู้สื่อข่าวรายงานว่า สถิติการใช้สิทธิ์คนละครึ่งพลัสในวันแรก (29ตุลาคม 2568) สิ้นสุดเวลา 23.00 น. พบว่า มียอดการใช้จ่ายเงินประมาณมีประมาณ 1,900 ล้านบาท ผู้ใช้สิทธิ์ 7,858,965 คน และมีจำนวนร้านค้าใช้สิทธิ์ ประมาณ520,397 ร้านค้า
ส่วนข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. พบว่า มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการฯ สำเร็จแล้วกว่า 13.60 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 5,424.68 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 2,739.81 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 2,684.87 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าของการลงทะเบียนร้านค้าในโครงการฯ จากข้อมูลสะสม ณ วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วจำนวน 780,659 ราย


