“บีทีเอส”โล่ง กทม.ปลดหนี้ 3.64 หมื่นล้านบาท จ่ายเช็คค่าจ้างเดินรถสีเขียวต่อขยาย หลังจากนี้ วางบิลรับค่าจ้าง 740 ล้านบาททุกเดือน “คีรี”หวังไม่ติดหนี้อีก เผยได้ดอกเบี้ย 1 หมื่นล้านแต่ไม่คุ้มเพราะทำ 8 ปี เสียโอกาสลงทุน เผยพร้อมเจรจาซื้อคืนร่วมรถไฟฟ้า 40 บาท เชื่อผู้โดยสารเพิ่มเกือบเท่าตัว
วันที่ 30 ตุลาคม 2568 นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC และพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ BTSC แถลงข่าวกรณีการจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร (กทม.)
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บีทีเอส เปิดเผยว่า วันนี้ (30 ต.ค. 68) กทม.จะจ่ายหนี้ค่าจ้างที่ค้างทั้งหมดกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นเช็คใบเดียวของภาครัฐที่จ่ายให้เอกชน ซึ่งกทม.-เคที และบริษัทฯมีการทำข้อตกลงในการจ่ายค่าจ้างเดินรถทุกเดือน โดยทุกวันที่ 3 ของเดือน จะเป็นการวางบิลและกทม.ต้องชำระค่าจ้างให้ในวันที่ 20 ของทุกเดือน ซึ่งหวังว่าหลังจากนี้ จะจ่ายค่าจ้างตรงตามเวลา เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้ขึ้นมาอีก
โดยค่าจ้างเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงหมอชิต-คูคต, บางจาก-สมุทรปราการ และโพธิ์นิมิตร-บางหว้า ประมาณ 740 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ หากสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช,สนามกีฬาแห่งชาติ- สะพานตากสิน ระยะทาง 23 กม. ครบสัญญาสัมปทานในปี 2572 หลังจากนั้นจะเป็นการจ้างวิ่งร่วมไปกับส่วนต่อขยายถึงปี 2585 ซึ่งประเมินค่าจ้างรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,400 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งส่วนสัมปทาน มีผู้โดยสารมากที่สุด ดังนั้นต้นทุนค่าดำเนินงานก็จะต้องเพิ่มตามจำนวนผู้โดยสารไปด้วย
“บริษัทฯ อดทน มากว่าหลายปี โดยยังคงให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะต้องหาเงินทุนจำนวนมหาศาล ในการดำเนินงาน แต่บริษัทฯมีศักยภาพและเครดิตพอที่จะกู้ และออกพันธบัตรนำมาใช้จ่ายในเวลาที่ยาวนาน ซึ่งกทม.ไม่ได้ผิดอะไร แต่ใช้เวลาเรื่องนี้นานไปมาก จนทำให้เกิดดอกเบี้ยกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทลดดอกเบี้ยให้ประมาณ 200 ล้านบาท ขณะที่บริษัทได้มีการกู้เงินและออกพันธบัตรก็มีภาระดอกเบี้ยอัตราประมาณ 4% หากเทียบกับที่กทม.จ่ายหนี้มีอัตราดอกเบี้ย MLR+1 ถือว่าครอบคลุมดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทฯ แต่บริษัทฯไม่ได้ต้องการกำไรจากดอกเบี้ย เพราะหากไม่มีการติดค้างค่าจ้าง และจ่ายค่าจ้างมาตั้งแต่ศาลตัดสินคดีที่ 1 ก็คงไม่มีดอกเบี้ยจำนวนมากขนาดนี้ ซึ่งบริษัทไม่ได้ต้องการดอกเบี้ย เพราะหากได้รับค่าจ้างตามปกติ จะสามารถนำเงินนั้นไปลงทุนได้ เวลาที่ผ่านมาจึงถือเป็นการสูญเสียโอกาสมากกว่า”
นายคีรีกล่าวว่า หลังกทม.ชำระหนี้ค่าเดินรถกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ตามแผนบริษัทฯจะนำไปใช้หนี้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท อีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาทจะนำไปลงทุนและพัฒนารถไฟฟ้า รวมถึงจัดหาขบวนรถเพิ่ม
@พร้อมร่วมนโยบายค่าโดยสาร 40 บาท/วัน ซื้อคืนต้องประเมินค่าลงทุนที่ผ่านมา
ส่วนกรณีที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายเรื่องการจัดทำตั๋วร่วมและอาจจะกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบ 40 บาท หรือเดินทางได้ตลอดทั้งวันรวมถึงจะมีการซื้อคืนสัมปทานจากเอกชนด้วย นายคีรีกล่าวว่า รัฐบาลน่าจะมองเรื่องความสะดวกสบายและลดภาระค่าเดินทางของประชาชน และมีการปรับเปลี่ยนค่าโดยสารจาก 20 บาทตลอดสายของรัฐบาลชุดที่แล้วเป็น 40 บาทตลอดทั้งวัน โดยรวมทุกสายภายใต้ที่รัฐเป็นเจ้าภาพเอง โยตนมองว่า ตอนนี้รถไฟฟ้าทั้งหมดเป็นของรัฐบาลอยู่แล้ว ประมาณ 4 สาย ยกเว้น ส่วนสัมปทานสีเขียวของบีทีเอส ซึ่งบริษัทในฐานะเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือ แต่ขณะนี้ ยังไม่ได้มีการเจรจาใดๆ กับเอกชน
กรณีการซื้อคืนนั้น ต้องดูแนวทางที่รัฐจะใช้ ซึ่งต้องประเมินเงินลงทุนของเอกชน เช่นสายสีเขียวบริษัทก่อสร้างในส่วนสัมปทานเองทั้ง 100% ตอนนั้นลงทุนค่าก่อสร้างไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท ตอนนี้เหลืออีก 4 ปีจะหมดสัมปทานก็ต้องมาประเมินต้นทุนกัน ส่วนรถไฟฟ้าสีชมพูและสีเหลือง ที่อยู่ภายใต้กำกับของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็มีสัญญาการร่วมทุนที่สามารถประเมินมูลค่าได้ ซึ่งมองว่าการซื้อคืน รัฐต้องใช้เงินก้อนหนึ่งแต่อาจจะติดไว้ก่อน ยังไม่จ่ายให้เอกชนเลยแต่อย่างไรก็มีดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่าย เพราะเอกชนต้องไปกู้เงินมาเป็นค่าดำเนินงาน เชื่อว่า ก็อาจจะต้องมีสัญญากับเอกชนไปอีก 30 ปี และเชื่อว่า การลดค่าโดยสารลงจะทำให้จำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้าทั้งระบบเพิ่มขึ้นกว่า 70-80% แน่นอน จากปัจจุบันเกือบ 2 ล้านคน/วัน เพราะค่าเดินทางถูกลง ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้และจ่ายให้เอกชนด้วย ถือเป็นความคิดสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ประชาชน
@แจงหนี้ 3.6 หมื่นล้านบาทถึงสิ้นเดือนก.ย. 68
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียวเริ่มเมื่อปี 2560 เมื่อรัฐบาลให้มีการเปิดบริการส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สำโรง หลังจากก็เปิดส่วนต่อขยายเรื่อยๆ ทางกรุงเทพมหานคร(กทม.) มีการจ่ายหนี้มาบางส่วน จนกระทั่งปี 2562 รัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2562 เพื่อจัดการเรื่องสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว แล้วเกิดการเจรจากับ BTSC และจากคำสั่งดังกล่าวทำให้กทม.หยุดการจ่ายหนี้ตั้งแต่ เดือน พ.ค. 2562 ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นการทำเพื่อรอให้การต่อสัญญาสัมปทานสำเร็จตามคำสั่งดังกล่าว แต่เมื่อไม่มีการจ่ายหนี้เข้ามาทำให้หนี้สินพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงนำมาสู่การฟ้องศาลปกครองครั้งแรกเมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นหนี้ช่วงปี 2560-2564 รวม 10,973 ล้านบาท ดอกเบี้ยอีก 3,499 ล้านบาท รวมทั้งหมดที่ 14,477 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองได้พิพากษาให้ กทม.และบจ.กรุงเทพธนาคม (เคที) ร่วมจ่ายหนี้ก้อนนี้ ทั้งนี้ระหว่างที่ฟ้องร้อง หนี้ก้อนที่ 1 ค่าใช้จ่ายในการเดินรถก็มีมาต่อเนื่องจนกลายเป็นหนี้ก้อนใหม่
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ทำให้เกิดเป็นหนี้ก้อนที่ 2 จำนวน 11,028 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2,708 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองก็ได้มีคำพิพากษาให้จ่ายหนี้ทั้งหมด ซึ่งกทม.และเคทีไม่ได้อุทธรณ์และได้ตัดสินใจจ่ายหนี้ก้อนที่ 2 พร้อมหนี้ที่เกิดหลังจากวันฟ้องจนถึงเดือน ก.ย.2568 รวมเป็นเงินทั้งหมด 36,444 ล้านบาท เป็นเงินต้น 31,482 ล้านบาท และดอกเบี้ย 4,962 ล้านบาท ซึ่งกทม.นัดหมายให้ไปรับเช็คเงินสดภายในวันนี้ (30 ต.ค. 2568)
ด้านนายสุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ BTSC กล่าวว่า กรณีการทำสัญญาจ้างเดินรถ เมื่อปี 2555 ในสมัยหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นผู้ว่ากทม. และประเด็นดังกล่าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดจำเลยจำนวน 13 คน ไม่มีผลกับการจ่ายหนี้ เนื่องจากศาลปกครองมีคำวินิจฉัยว่า สัญญาจ้างดังกล่าวเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย


