SCCปรับแผนรับมือเศรษฐกิจโลกและไทยถดถอย ชู 4กลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจเปราะบาง หันมารุกตลาดเวียดนามและใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกตลาดโลก ลั่นปีนี้ยอดขายพลาดเป้า หากทำได้เท่าปีก่อนที่5.26 แสนล้านบาทก็เก่งแล้ว แต่มั่นใจEBITDAปีนี้แตะ 5.4หมื่นล้านบาท
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCCเปิดเผยว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยในไตรมาส 4/2568 ยังเผชิญความท้าทายที่ยืดเยื้อต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ทั้งการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว ภาษีนำเข้าสหรัฐฯการทุ่มตลาดจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศและค่าเงินบาทที่แข็งกว่าปัจจัยพื้นฐานที่กดดันการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย ทำให้เครื่องยนต์ที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยเเินหน้าไปได้มาจากนโยบายภาครัฐ ดังนั้นเสถียรภาพต่อเนื่องของภาครัฐจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในปี2569 จะมีการเลือกตั้งใหม่และใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้เป็นช่องว่าง และหากงบประมาณรัฐฯสะดุด ก็จะทำให้เครื่องยนต์ที่ผลักดันเศรษฐกิจสะดุดหมด เป็นเรื่องที่น่ากังวล
ทั้งนี้ IMF คาดการณ์GDPไทยในปี2568 เติบโต 2% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน และปี 2569 อาจชะลอเหลือ 1.6%
แม้เผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น แต่SCCมั่นใจว่า มาตรการที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งรักษาวินัยทางการเงิน ลดต้นทุน รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน ปรับโครงสร้างธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาสินค้า Smart Value–HVA–กรีน ตอบโจทย์ตลาดทุกระดับ และขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ทำให้มีกระแสเงินสดแกร่ง ผลการดำเนินงานธุรกิจมั่นคง
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า เดิมบริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้โตขึ้น 5% คงเป็นไปไม่ได้ เพราะ9เดือนแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายรวม 370,870ล้านบาท ลดลง3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าจะกลับมาเดินเครื่องโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP)ที่เวียดนามแล้วก็ตาม ซึ่งปกติยอดขายต้องเพิ่มขึ้น 10% แต่ขณะนี้ราคาปิโตรเคมีกลับปรับลดลงอีกครั้งฉุดยอดขายรวมของบริษัทฯลงตาม ดังนั้นในปีนี้หากรักษายอดขายให้เท่าปีก่อนที่526,674 ล้านบาทก็เก่งแล้ว
อย่างไรก็ดี ในปี2568บริษัทคงเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) หรือกระแสเงินสด ได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 5.4 หมื่นล้านบาท โดย 9เดือนแรกปี2568 บริษัทมีEBITDA อยู่ที่ 4.45 หมื่นล้านบาท และในปี2569 บริษัทตั้งเป้าหมาย EBITDA เติบโตขึ้นกว่า 5.4หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะใช้ฐานการผลิตในกลุ่มธุรกิจต่างๆตั้งในอาเซียนเพื่อสร้างการเติบโตทดแทนตลาดไทยที่เศรษฐกิจชะลอตัว
โดยบริษัทเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก เสริมแกร่งธุรกิจ เพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกยืดเยื้อ ดังนี้ คือกลยุทธ์ที่ 1 รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง บริหารกระแสเงินสดที่มั่นคง ใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง เดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานธุรกิจ ลดต้นทุนด้วย AI & Robotics เช่น เอสซีจี เดคคอร์ นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิต และบริหารคลังสินค้า ลดต้นทุนได้ถึงกว่า 20% ต่อปี เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ AI และระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ
สำหรับกลยุทธ์ที่ 2 รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจที่ดำเนินงานในอาเซียน บริหารต้นทุนการผลิตและส่งออก เช่น เอสซีจี สมาร์ท ลีฟวิง ควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่จังหวัดลำพูน ลดต้นทุนได้ 10 ล้านบาทต่อปี
ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 รุกตลาดเวียดนาม โดยชูเป็นฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลก เนื่องจากเวียดนามมีGDPเติบโตโดดเด่นขยายตัวกว่า 7% จากมาตรการรัฐและการลงทุนต่อเนื่อง เอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ–ก่อสร้าง–บริโภค และมีต้นทุนการผลิตแข่งขันได้ทั้งพลังงาน แรงงาน และโลจิสติกส์ โดยSCCมีการลงทุนในทุกกลุ่มธุรกิจอยู่ที่เวียดนาม และมีแผนเร่งขยายฐานในเวียดนามเพิ่มขึ้นเช่น การผลิตปูนคาร์บอนต่ำ 8,000 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมขยายการผลิตและส่งออกเซรามิกจากเวียดนามสู่ตลาดโลก
ขณะที่โรงงานLSP ปรับแผนการผลิตเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันในช่วงที่สภาวะราคาวัตถุดิบผันผวน ส่วนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP เวียดนาม (โครงการ LSPE) ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570 จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว
ด้านกลยุทธ์ที่ 4 ขยายพอร์ตสินค้า บริการ ราคาคุ้มค่า Smart Value – HVA - กรีน ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทขยายกลุ่มสินค้าและบริการ Smart Value “คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า” ทั้งกลุ่มสินค้างานโครงสร้างและวัสดุตกแต่ง เช่น ปูนงานโครงสร้างและปูนก่อฉาบ “ดูร่าวัน” แข็งแรง ใช้งานง่าย, กระเบื้องหลังคาเซรามิก SCG รุ่น “Celica SRA” สำหรับอาคารศาสนสถานและงานดีไซน์พิเศษ, พื้นและประตู “UNIX”, งานเหล็กสำหรับโครงผนัง ฝ้า และหลังคา “TOPSTEEL” และแพคเกจบริการมุงหลังคา “SCG Saver Roof Package” นอกจากนี้ยังเร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products-HVA)
อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ ปูนคาร์บอนต่ำ อยู่ระหว่างพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ Generation 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38% เตรียมปรับกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2570
“แม้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางและคาดการณ์ยาก บริษัทเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การปรับตัวอย่างทันท่วงทีที่ผ่านมา คือ “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” เห็นได้ผลการดำเนินงานและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง”


