วิจารณ์ TOR ประมูลเช่ารถเมล์ EV 1,520 คัน ครั้งที่ 2 เพิ่มความยาวรถไม่น้อยกว่า 11 เมตร ติงไม่มีประโยชน์ ที่นั่งไม่เพิ่ม ยอมตัดบ่อชุบ hot-dip galvanize กันสนิมใช้วิธีทดสอบผุกร่อน Salt Sprey Test ส่อล็อกโรงงาน เพิ่มต้นทุน แนะแค่ปลอดสนิมตลอดอายุเช่า 7 ปีก็พอ
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจาก องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้นำร่างขอบเขตของงานและรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะโครงการ (Terms of Reference :TOR) โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) จำนวน 1,520 คัน และระบบอัดประจุไฟฟ้า ระยะเวลาการเช่า 7 ปี กรอบวงเงินงบประมาณ 15,355.6 ล้านบาท ขึ้นบนเว็บไซต์เพื่อรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) ระหว่างวันที่ 19 ก.ย. 2568 ถึงวันที่ 26 ก.ย. 2568 รวม 7 วัน โดยมีผู้เข้าแสดงความคิดเห็นกว่า 40 ราย จากนั้น ขสมก.ได้มีการปรับปรุงร่าง TOR และนำขึ้นบนเว็บไซต์เพื่อรับฟังประชาพิจารณ์ ครั้งที่ 2 ช่วงวันที่ 14-17 ต.ค.2568 รวม 3 วัน
ซึ่งโครงการนี้เป็นการจัดหารถโดยสารใช้ไฟฟ้าครั้งใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐ จึงเป็นที่จับตาอย่างมาก เนื่องจาก ปัจจุบันมีผู้ประกอบการด้านรถโดยสาร รายใหญ่ไม่กี่ราย ที่มีโอกาสเข้าร่วม ขณะที่โครงการของรัฐที่มีมูลค่าสูงนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้ขสมก.มีรถใหม่มาบริการประชาชน ขณะที่ต้องการให้เกิดการกระตุ้นการสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมรถโดยสารภายในประเทศที่ซบเซาด้วย
@ติงแก้ความยาวรถ จากไม่น้อยกว่า 10.5 เมตร เป็น 11 เมตร ไม่มีประโยชน์ ที่นั่งไม่เพิ่ม
นายอรุณ ลีธนาโชต ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อรถโดยสาร อดีตกรรมการร่างทีโออาร์ รถเมล์ NGV ขสมก. กล่าวว่า จากที่ตนได้ส่งความเห็นประชาพิจารณ์ร่าง TOR เช่ารถโดยสารปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คันของขสมก.ในครั้งแรก ต่อมา ขสมก.ได้นำร่าง TOR ขึ้นประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 แม้จะมีการปรับแก้ถ้อยคำ แต่ไม่เป็นสาระสำคัญที่ทำให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่า โดยตนได้ส่งความเห็นประชาพิจารณ์ในครั้งที่ 2 โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ
ได้แก่ เรื่องความยาวของตัวรถ ที่อยู่ใน เอกสารแนบท้าย 3 ข้อ 1. คุณลักษณะทั่วไป 1.3 "..ขนาดความยาวตัวรถไม่น้อยกว่า 11 เมตร......"ภายในรถโดยสารมีที่นั่งผู้โดยสาร ที่นั่งสำหรับผู้พิการและที่นั่งพับเก็บได้ ไม่รวมที่นั่งคนขับ รวมกันไม่น้อยกว่า 31 ที่นั่ง...."
มีความพยายามหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์จากประชาชนตามเพจรถโดยสารที่ว่ารถความยาว 10.5 เมตร สั้นเกินไป บรรจุผู้โดยสารได้น้อย โดยแก้เป็นความยาว 11 เมตร แต่ยังระบุจำนวนที่นั่งไม่น้อยกว่า 31 ที่นั่ง
ซึ่งการกำหนดความยาว ความสูงตัวรถ มีระเบียบกรมการขนส่งทางบกบังคับอยู่แล้วว่ารถโดยสารมาตรฐาน 2 ข. ความกว้างไม่เกิน 2.55 เมตร ยาวไม่เกิน 12 เมตร เหตุใด ขสมก.ไม่ระบุจำนวนผู้โดยสารเพื่อผลประโยชน์ทางรายได้ของ ขสมก.เอง รถยาว 10.5 เมตร และ 11 เมตร ติดตั้งที่นั่งได้เท่ากันคือ 31 ที่นั่ง ตัวอย่างเช่นรถของไทยสมายล์บัสยาว 10.96 เมตร 31 ที่ นั่ง ถ้าความยาว 11.5 เมตร ติดตั้งได้ 35 ที่นั่ง เหตุใด ไม่ระบุ 35 ที่นั่ง จุผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 60 คนตามการตรวจสภาพจดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก เหมือนเมื่อครั้งจัดซื้อรถ NGV ความยาว และน้ำหนักของตัวรถเป็นหน้าที่ผู้ชนะการประมูลต้องจัดหามาให้ถูกต้องตาม TOR และระเบียบขนส่ง
“ถ้าเป็นตามนี้ ระบุได้เลยว่าน้ำหนักตัวรถเปล่าต้องไม่เกิน 13,700 กก. ( น้ำหนักบรรทุกรวม 17,000 กก.- น้ำหนักผู้โดยสาร 60 คน 3,300 กก. = 13,700 กก.) จะได้ไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก”
@เน้นวิธีทดสอบผุกร่อน Salt Sprey Test ส่อล็อกโรงงาน เพิ่มต้นทุน
2. คุณลักษณะเฉพาะของโครงสร้างรถโดยสาร
2.1(2) "วัสดุสำหรับโครงสร้างตัวถังรวมถึงผนังทุกด้านและเพดานหลังคาในส่วนที่ปรากฏต่อสายตาต้องผ่านกระบวนการทดสอบการผุกร่อนด้วยวิธี Salt Sprey Test......"
การทดสอบ Salt Sprey Test ปกติใช้สำหรับการทดสอบชิ้นงานที่เคลือบสีหรือเคลือบผิว เช่น สีที่พ่นทับบนชิ้นงาน ถ้าเป็นวัตถุดิบแบบที่เป็นเหล็กกล่องทำโครงสร้างรถโดยสาร หรือเหล็กแผ่นหุ้มตัวถัง คงทดสอบได้เฉพาะเหล็กกล่อง electro glvanized หรือ hot dip galvanized และเหล็กแผ่น electro galvanized เพื่อดูความคงทนต่อการสึกกร่อนของผิวเคลือบ แต่ถ้าเป็นเหล็กกล่อง เหล็กแผ่น ไม่เคลือบผิว ถามว่าจะทดสอบ salt sprey test ว่าเนื้อเหล็กจะผุกร่อนมากน้อยเพียงใดได้หรือ ยิ่งผนังแผงข้างภายในและเพดานของรถโดยสารในปัจจุบัน วัสดุที่ใช้ทำคือ ABS(Acrylonitrile Butadiene Styrene) GRP (Glass-fiber Reinforced Plastic) PVC (Polyvinyl Chloride) ไม่มีใครใช้ SaltSprey Test ในการทดสอบการผุกร่อนของวัสดุเช่นนี้ วิธีที่ใช้คือ Wethening Test หรือใช้สารเคมี วัสดุที่ใช้ทำหน้า-ท้ายรถก็ไม่ใช่เหล็ก แต่เป็น GRP ทำไมไม่กำหนดการทดสอบความแข็งแรงตามมาตรฐาน ASTM D695 หรือ ISO 604
2.1(3) "โครงสร้างตัวรถและชิ้นส่วนโลหะที่เสี่ยงต่อการกัดกร่อนต้องมีการป้องกันสนิม โดยวิธีที่ได้มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ และจะต้องมีเอกสารรับรองเพื่อยืนยันประสิทธิภาพการป้องกันการกัดกร่อนจากผู้ผลิตที่ได้การรับรองมาตรฐานสากล"ใบรับรองวัสดุเป็นเรื่องปกติ แต่ใบรับรองโครงสร้างรถไม่ทราบว่าจะหามาตรฐานสากลรองรับเรื่องการกัดกร่อนจากสถาบันไหน เพราะถึงจะใช้วัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนแต่การตัดเชื่อมขึ้นรูปเป็นโครงสร้าง รอยตัดเชื่อมล้วนทำลายผิวเคลือบ เจตนาคงลงท้ายให้ชุบ EDP แม้แต่มาตรฐาน UNECE (United Nation Economic Commission for Europe) ที่ใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลกก็ยังไม่มมาตรฐานนี้ ขสมก.คงต้องร้องของ มอก.ร่างมาตรฐานให้โดยด่วนแล้ว โครงการเช่ารถ แต่ร่าง TOD ด้านเทคนิคยิ่งกว่าการจัดซื้อรถ
@แนะกำหนดแค่”ปลอดสนิทตลอดเช่า 7 ปี”
“ทุกครั้งที่ผ่านมา พยามยามเอาเรื่องการขึ้นสนิม ผุกร่อนเป็นประเด็นสำคัญของคุณลักษณะรถ ซึ่งเลี่ยงจากคำ EDP มาเป็น Hot dip galvanized พอมีการท้วงติง ตอนนี้เลี่ยงมาใช้คำว่ามาตรฐานสากล ท่านคณะกรรมการคงไม่ทราบว่าบริษัทที่ชุบ EDP กันสนิมรถทั้งคัน ชิ้นส่วนโครงสร้างเชื่อมมาเรียบร้อยจากจีน เป็นเหล็กกล่องเปลือย กว่าจะขนส่งทางเรือมาถึงไทย ขึ้นสนิมเขรอะ เหล็กหุ้มตัวถังก็เหล็กเปลือยกว่าตัวรถที่หุ้มตัวถังเสร็จจะเข้า painting shop ผิวเหล็กมีคราบสนิมแล้ว ขั้นตอนแรกการทำ pre-treatment คิดว่าจะล้างสนิมที่เกิดขึ้นภายในเหล็กกล่องโครงสร้างได้หมดจริงหรือ การผลิตรถโดยสารไม่เหมือนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หลังจากงานสี งานประกอบภายในมีการเจาะรู้ยึดชิ้นส่วนต่างๆหลายร้อยรู เป็นการทำลายผิวเคลือบ EDP ทั้งนั้น ดูตัวอย่างรถยูโทูที่ออกแบบผลิตตัวถังทั้งคันในไทยใช้งานมากว่ายี่สิบปีแล้วโครงสร้างรถที่ทำจากเหล็กกล่อง EG ไม่มีการชุบ EDP ก็ยังใช้งานได้ปกติจนถึงทุกวันนี้
@ปิดนำเข้า-ลดการแข่งขันที่หมดโอกาสได้รถราคาถูกลง
นอกจากนี้ ในข้อ 1. ความเป็นมา"การส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรม การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ พลังงานสะอาด(EV) ใช้วัตฤดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม......."
อยากทราบว่า "เข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรม" หมายถึงอะไรการกำหนดคุณลักษณะเช่นนี้ คือการกำหนดให้รถต้องประกอบในประเทศเท่านั้น เพราะตามกฎหมายต้องมี local content อย่างน้อย 40% ตามมูลค่าถึงจะนับว่าเป็นรถประกอบในประเทศไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า 40% เป็นการ"ปิด"โอกาสไม่ให้ผู้ประกอบการขนส่งที่มีศักยภาพแต่ไม่มีโรงงานประกอบของตัวเองเข้าร่วมแข่งขันโดยนำเข้ารถสำเร็จรูปได้ จริงอยู่ที่ผู้ประกอบการสามารถว่าจ้างโรงงานประกอบตัวถังทั่วไปให้ประกอบรถให้ แต่ก็หนีไม่พ้นการนำเข้าชิ้นส่วนวัสดุอุปกรณ์จากจีนมาประกอบ หมดยุคที่จะผลิตรถรูปทรงของตัวเองแบบ ธนบุรีบัสบอดี้ เชิดชัยอุตสาหกรรม อู่ตากสิน ฯลฯ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศจริง การกำหนดคุณลักษณะเช่นนี้น่าจะ"ไม่เป็นธรรม"แก่ผู้ประกอบการที่จะนำเข้ารถสำเร็จรูปซึ่งราคาถูกกว่า และเป็นการ "ปิดโอกาส"ที่ ขสมก.จะได้รถที่มีราคาค่าเช่าถูกกว่า
3. คุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ เหตุใดไม่มีข้อกำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องระบุชื่อบริษัทที่ประกอบตัวรถ ในเมื่อกำหนดคุณลักษณะ ทางเทคนิคของตัวรถมากเกินกว่าระเบียบบังคับของกรมการขนส่งทางบก ก็สมควรที่จะต้องระบุบริษัทที่รับจ้างประกอบตัวรถ ว่ามีศักยภาพความน่าเชื่อถือมากพอที่จะประกอบได้ตามคุณลักษณะ รวมถึงเอกสารรับรองของบริษัทที่รับจ้าง อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบได้ว่าผู้เสนอ เป็นผู้ต้องการสัญญาโครงการจริงหรือเป็นแค่รับจ้างเป็นคู่เทียบพอที่จะประกอบได้ตามคุณลักษณะ รวมถึงเอกสารรับรองมาตรฐานของบริษัทที่รับจ้าง
อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบได้ว่าผู้เสนอราคาเป็นผู้ต้องการสัญญาโครงการจริงหรือเป็นแค่รับจ้างเป็นคู่เทียบ และถ้ามีการระบุบริษัทผู้รับจ้างประกอบเป็นบริษัทในเครือของผู้เสนอราคารายอื่น ก็ยิ่งแสดงชัดว่าเป็นการรับจ้างเป็นคู่เทียบ ขสมก.เคยมีประสบการณ์จากการซื้อรถ NGV 489 คันมาแล้ว ถึงมีการระบุให้แจ้งบริษัทผู้รับจ้างประกอบ แต่ไม่มีการตรวจสอบปล่อยปละให้มีการตรวจรับรถที่แหล่งผลิตไม่ตรงตามเอกสารที่แจ้งกลับกลายเป็นกรมศุลกากรตรวจสอบพบ
@ ที่มาราคากลางมาจากกลุ่ม”ซื้อ-ขาย-เดินรถ”นายทุนเดียวกัน
20. เอกสารแนบท้าย แหล่งที่มาของราคากลาง
1. บริษัทนครชัยแอร์ จำกัด ทำธุรกิจเดินรถร่วมโดยสาร บขส.
2. บริษัท เฟิสห์ทรานสปอร์ต จำกัด ทำธุรกิจเดินรถร่วมโดยสารทั่วไป
3. บริษัท พนัสแอสเซมบลีย์ จำกัด ทำธุรกิจผลิตและประกอบรถเพื่อการพาณิชย์ที่ไม่ใช่รถโดยสาร
4. บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจขายและบริการถเพื่อการพาณิชย์ อยู่ในกลุ่มร่วมลงทุนเดียวกันกันกับบริษัท Energy Absolute โรงงานประกอบ Absolute Assembly Plant และ ไทยสมายล์บัส
จากธุรกิจหลักของสามบริษัทแรก ไม่น่าจะมีข้อมูลเพียงพอที่จะอยู่ในฐานะให้ข้อมูลราคากลางที่น่าเชื่อถือ ส่วนบริษัทสุดท้ายเป็นผู้ซื้อรถจาก Absolute Assembly ขายให้ ไทยสมายล์บัส การทำธุรกิจ ประกอบ-ซื้อ-ขาย-เดินรถ อยู่ในกลุ่มนายทุนเดียวกัน และกำลังจะเป็นผู้เสนอราคาแข่งขันในโครงการนี้ ถามว่าราคากลางน่าเชื่อถือหรือไม่ ขสมก.มีการสอบถามราคากลางพร้อมส่งร่าง TOR
(ก่อนประกาศเป็นทางการ) ไปยัง Absolute Assembly ซึ่งเป็นแค่โรงงานประกอบรถด้วย ทำไมไม่มีชื่อในแหล่งที่มาของราคากลางขสมก.สามารถกำหนดคุณลักษณะทางเทคนิคมากกว่าระเบียบบังคับของกรมการขนส่งทางบก ทำไมไม่มีความสามารถประเมินค่าเช่าด้วยตนเองโดยอาศัยข้อมูลราคารถสำเร็จรูปจากจีน ซึ่งสามารถหาข้อมูลได้ง่ายมากหางอินเตอร์เน็ตนำมาเปรียบเทียบกับราคากลางที่ถามจากผู้ที่จะเข้าเสนอราคา เสมือนกำหนดราคากลางตามใจผู้ที่จะเข้าเสนอราคา


