กลุ่มอุตฯปิโตรเคมีและกลุ่มอุตฯพลาสติก ส.อ.ท.โอดภาษีทรัมป์ดันราคาสินค้าแพง สู้คู่แข่งลำบาก หวั่นสูญเสียตลาด หันมาปรับตัวเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยนำขยะพลาสติกมารีไซเคิลผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล(PCR)เพื่อเป็นวัตถุดิบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เจาะตลาดส่งออกสินค้าพลาสติกที่ผสมเม็ดพลาสติกรีไซเคิล จี้รัฐสนับสนุนการใช้PCR
กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกและกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจจากโครงการEconmass Talk ในหัวข้ออุตสาหกรรมพลาสติกไทย-ปิโตรเคมีได้หรือเสีย…จากภาษีทรัมป์ เพื่อสะท้อนปัญหาและความท้าทายของผู้ประกอบการไทยจากผลกระทบมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่สูงถึง 19% และร่วมกันหาแนวทางในการเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก เมื่อวันที่ 24กันยายน 2568
นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมพลาสติกไทยกำลังเผชิญความท้าทายและโอกาสจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบด้านราคา สูญเสียส่วนแบ่งตลาดและมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมทั้งยังเกิดการส่งสินค้าจากประเทศอื่นมาไทย ทำให้การแข่งขันยิ่งรุนแรงขึ้น แม้ว่าจะมีข้อดีอยู่บ้าง เช่นการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯลดลง แค่ผลเชิงบวกยังไม่เพียงเมื่อเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
สถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อต้นทุนการผลิต ดังน้้นผู้ประกอบการต้องรักษาสมดุลให้เกิดขึ้นในภาคการผลิตปิโตรเคมี เพื่อรักษาขีดความสามารถในระยะยาว โดยเฉพาะการจัดหาวัตถุดิบ โดยนำขยะพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเพื่อกลับมาใช้ใหม่ มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยให้สามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล(PCR)คุณภาพดีเทียบเท่าเม็ดพลาสติกใหม่( Virgin Plastic)ซึ่งนับเป็นการแก้ปัญหาขยะพลาสติกด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
โดยยอมรับว่าขณะนี้ต้นทุนการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลจะสูงกว่าเม็ดพลาสติกทั่วไป เพื่อให้การผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลแข่งขันได้ จำเป็นที่ภาครัฐต้องออกนโยบายกำหนดการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลผสมในการผลิตสินค้าด้วย ดังเช่นหลายประเทศยุโรปที่กำหนดให้สินค้าต้องมีในการผลิตสินค้าต้องมีส่วนผสมวัตถุดิบรีไซเคิลราว10-30% มิฉะนั้นจะถูกจัดก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า หากไทยสามารถผลักดันให้เกิดตลาดได้สำเร็จ เชื่อว่าจะสร้างแรงจูงใจผลักดันให้เกิดการลงทุนโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพดีในต้นทุนที่ต่ำลงมากขึ้น
นอกจากพลาสติกรีไซเคิลยังประสบปัญหาหารจัดเก็บและการคัดแยกอย่างเป็นระบบทำให้ปัจจุบันพลาสติกรีไซเคิลมีต้นทุนที่สูง จึงอยากรณรงค์ให้ประชาชนแยกขยะอย่างจริงจังเพื่อสะดวกในการนำกลับมารีไซเคิล
“ ภาษีทรัมป์ที่เก็บจากสินค้าไทย 19% กระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยทั้งในแง่ยอดขายที่ลดลง กำไรหดตัว และความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเม็กซิโก เวียดนามและจีน ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเร่งปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตการกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ขณะเดียวกันภาครัฐต้องให้การสนับสนุนเชิงนโยบาย เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชน พร้อมทั้งผลักดันให้อุตสาหกรรมรีไซเคิล กลายเป็นNew S-Curve ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต”
ดังนั้น ผลิตภัณฑ์พลาสติกจึงไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมปลายทางแต่เป็นโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตในทุกมิติ หากปิโตรเคมีและพลาสติกไทยไม่เข้มแข็ง การพัฒนาอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศก็เดินต่อไปได้ยาก
นางภรณี กองอมรภิญโญ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. กล่าวว่า อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติกไทย คือแรงกดดันจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทั้งจากความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี และความต้องการภายในประเทศ เช่นเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในสินค้าและองค์กร ซึ่งทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกกำลังผลักดันการผลิตและใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่มีคุณสมบัติได้มาตรฐานในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ เพื่อให้การใช้พลาสติกเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง หากทำได้สำเร็จจะเป็นNew S-Curveของอุตฯไทยในอนาคต
ทั้งนี้ ทั้งสองกลุ่มอุตสาหกรรมได้ยื่นข้อเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านมาตรการสำคัญ 4ด้านคือ1.ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน 2.ปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านภาษี ช่วยลดต้นทุนการแข่งขันในตลาดโลก 3.ปกป้องตลาดจากการทุ่มตลาด 4.สร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่ด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกครบวงจร แม้ว่าไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษสหรัฐฯ และการแข่งขันที่เข้มข้นแต่ยังเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีที่สำคัญในภูมิภาค