กนอ.จับมือ ส.อ.ท.เดินหน้ายกระดับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย หวังเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดย ส.อ.ท.เสนอให้ กนอ.ตั้งนิคมฯ เฉพาะทางเพื่อให้อุตฯ เป้าหมายเพิ่ม Local Content ให้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันการค้า ส่วน กนอ.แย้มปีนี้เป้าขายที่ดินในนิคมฯ พลาดเป้า ทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 8 พันไร่ คาดปี 69 ขายที่ดินนิคมฯ ได้ 1 หมื่นไร่
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อยกระดับและเร่งรัดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ณ สำนักงานใหญ่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า การลงนามในครั้งนี้เป็นการผนึกพลังของสององค์กรที่มีศักยภาพแตกต่างกัน โดย กนอ.มีความพร้อมด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ขณะที่ ส.อ.ท.เป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิดและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง โดยความร่วมมือภายใต้นโยบาย NOW Thailand ของ กนอ. และนโยบาย One FTI ของ ส.อ.ท. จะทำให้เกิดพลังเสริมที่สามารถผลักดันการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดเป็นนโยบายและมาตรการที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยให้เป็น New Growth Engine ของประเทศ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ขณะเดียวกัน ความร่วมมือนี้ยังเป็นเวทีสู่การพัฒนานวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดย กนอ.มุ่งขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็น ‘Smart Industrial Estate’ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง
จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 สูงถึง 1.058 ล้านล้านบาท เติบโต 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องปรมาณการขายที่ดินนิคมฯ โดยปีงบมาณ 2566 สิ้นสุด 30 กันยายน 2566 มีการขายที่ดินนิคมฯราว 6 พันกว่าไร่ ปี 2567 เพิ่มเป็น 8 พันไร่ และปีนี้ตั้งเป้าไว้ 1 หมื่นไร่ แต่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ทำให้ยอดขายที่ดินในนิคมฯ จนถึงขณะนี้อยู่ที่ 4-5 พันไร่ คาดว่าปีนี้จะทำได้เท่ากับปีก่อนที่ 8 พันไร่ และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1 หมื่นไร่
“ผมเชื่อมั่นว่าด้วยการเกื้อหนุนศักยภาพระหว่าง กนอ.กับ ส.อ.ท. จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเติบโตอย่างมั่นคง และนำพาประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมของภูมิภาค พร้อมกับการเติบโตที่สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายสุเมธกล่าว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็มีโอกาสสำคัญจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve
ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอมีเป้าหมายชัดเจนในการเปิดโรงงานให้เร็วที่สุด ดังนั้นเราควรเร่งสร้างโมเมนตั้มต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวก และง่าย ขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาคน โดยจัดทำหลักสูตรร่วมกันเพื่อ Upskill Reskill เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติตัดสินใจย้ายฐาน นอกจากพิจารณาเรื่องทำเลที่ตั้งแล้วต้องคำนึงแรงงานคนว่ามีพร้อมหรือไม่
อย่างไรก็ดี ภายใต้การย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทย เราต้องหนุนให้ SMEเ ข้ามาอยู่ใน Supply Chain ให้ได้ ภายใต้บริบทโลกสงครามการค้าที่เข้มข้นขึ้น ขณะที่ไทยอยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นอัตรา RVC หรือกฎว่าด้วยสัดส่วนวัตถุดิบท้องถิ่น (Required Value Content) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ โดย ส.อ.ท.เร่งกลุ่มอุตสาหกรรมปรับปรุงเพิ่มสัดส่วน RVC ให้สูงขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีที่สูงขึ้นจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่สหรัฐฯต้องการกำหนดสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯต้องมีLocal Content สูงถึง60%แต่ไทยทำได้เพียง 40% จึงต้องมีการเจรจาต่อไปเพื่อไม่ให้ต้องเสียภาษีนำเข้า 40% จาก 19% ดังนั้น ส.อ.ท.อยากให้ กนอ.ร่วมออกแบบนิคมฯ เฉพาะทาง หรือเรียกว่า Supply Chain Security Industrial Park โดยทำเป็นโซนพิเศษ หรือเป็นแซนด์บอกซ์ให้อุตสาหกรรมเป้าหมายและตั้งเป้าเพิ่ม Local Content ให้มากขึ้นในแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า
การที่นักลงทุนจะตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนั้นต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูง พื้นที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ตลาด และท่าเรือเพื่อความพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม คือ หัวใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุน
ทั้งนี้ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศการผลิต (Ecosystem) ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ Data Center เกษตรและชีวภาพขั้นสูง รวมถึง Climate Tech ด้วยเหตุนี้ ส.อ.ท.จึงมุ่งผลักดันให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งประกอบไปด้วย S-Curve & New S-Curve รวมทั้ง BCG และ Climate Change ซึ่งเป็นนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของโลก และนโยบายของภาครัฐ
“ส.อ.ท.พร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับ กนอ. ทั้งเรื่องการประสานงานกับสมาชิก ส.อ.ท. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม การรวบรวมความเห็นจากภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนากฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้สมาชิกใช้บริการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ One Stop Service ของ กนอ. และที่สำคัญที่สุดคือ การผลักดันมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุน และผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” นายเกรียงไกรกล่าวเสริม
สำหรับขอบข่ายความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ประกอบด้วย 1. การเร่งรัดการลงทุน ด้วยการร่วมกันจัดทำแนวทางและแผนสร้างแรงจูงใจ เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม
2. ความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เพื่อใช้กำหนดนโยบายและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน 3. การพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดย กนอ.จะสนับสนุนการใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) และ "ทางด่วน" การลงทุน (Investment Fast Track)
และ 4. การส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมกันยกระดับผู้ประกอบการด้วยมาตรฐาน "โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory)" ตั้งแต่การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน การให้การรับรอง การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการมอบสิทธิประโยชน์