บีบีจีไอแย้มปีหน้าเตรียมลงทุนโครงการผลิตไบโอแอลเอ็นจี มูลค่าการลงทุน 2 พันล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 70 โดยนำน้ำเสียโรงงานเอทานอลมาผลิตเป็นไบโอมีเทนเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า พร้อมจับมือ ก.เกษตรฯ และแอดวานซ์ ไบโอคาร์บอน ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายเพื่อนำไปใช้ผลิตน้ำมัน SAFและกากสาหร่ายนำไปผลิตอาหารสัตว์
นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการผลิตไบโอแอลเอ็นจี (Bio-LNG) หรือ Liquefied Biomethane เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเบื้องต้นมีกำลังผลิต 100 ตันต่อวัน ใช้เงินลงทุนราว 2 พันกว่าล้านบาท คาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2570
โครงการผลิตไบโอแอลเอ็นจี เป็นการนำน้ำเสียในโรงงานเอทานอลมาผลิตก๊าซฯชีวภาพไบโอมีเทน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าสีเขียวให้กลุ่มดาต้า เซ็นเตอร์ ถือเป็นกรีนอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีความเข้มข้นของคาร์บอนต่ำ จึงช่วยลดปัญหาก๊าซเรือนกระจก
ก่อนหน้านี้ BBGI ร่วมกับ บริษัท เคปเปล จำกัด (Keppel) และ คลีนเอดจ์ รีซอร์สเซส จำกัด (CleanEdge) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อร่วมกันศึกษาและพัฒนาโครงการผลิตไบโอแอลเอ็นจี (Bio-LNG) ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการยกระดับการใช้พลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิงชีวภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) ของ BBGI ด้วยการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดจากเชื้อเพลิงชีวภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการตอบสนองต่อนโยบาย Net Zero ของประเทศไทยอีกด้วย
นายเดชพนต์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ที่ BBGI ถือหุ้น 20% และบางจากฯ ถือหุ้น 80% ว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงสุดท้ายการก่อสร้างโรงงาน SAF ที่ก่อสร้างคืบหน้าไป 96-97% คาดว่าภายในปลายปี 2568 จะก่อสร้างแล้วเสร็จ และในไตรมาส 1/2569 จะเริ่มทดลองเดินเครื่องจักรก่อนผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 2/2569
โครงการผลิต SAF มีกำลังผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน ปัจจุบันกลุ่มบางจากได้เตรียมสต๊อกวัตถุดิบคือน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว เพื่อรองรับการผลิตน้ำมัน SAF รวมทั้งได้มีการทำสัญญาซื้อขาย SAF ให้กับสายการบินและเทรดเดอร์คิดเป็นสัดส่วน 60% ของกำลังการผลิต
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงาน BBGI ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะทรงตัว เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก แม้ว่ากำลังการผลิตทั้งเอทานอลและ B100 เดินเต็มกำลัง 100% เนื่องจากขายให้กับกลุ่มบางจาก แต่ราคาเอานอลและ B100 ยังเป็นขาลง เนื่องจากตลาดยังโอเวอร์ซัปพลาย ส่งผลให้ราคาปรับตัวลง ประกอบกับภาครัฐลดสัดส่วนผสมน้ำมันจาก B7 เป็น B5 ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ลดลง
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังรอความชัดเจนด้านนโยบายการส่งเสริมจากทางภาครัฐ โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ E20 และ B7 ที่จะช่วยให้ความต้องการใช้เอทานอล และ B100 ปรับตัวสูงขึ้น
วันที่ 2 ก.ย. 2568 บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทแอดวานซ์ ไบโอคาร์บอน จำกัด และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายเพื่อผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และผลิตอาหารสัตว์จากจุลสาหร่าย โดยมีนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน
โครงการความร่วมมือนี้มีเป้าหมายในการบูรณาการศักยภาพของภาครัฐและเอกชน ในการวิจัย พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่าย ตั้งแต่กระบวนการสกัดน้ำมันดิบจากจุลสาหร่าย การผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ไปจนถึงการพัฒนาอาหารสัตว์จากวัสดุเหลือใช้ เพื่อลดของเสีย สร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพของประเทศไทยสู่มาตรฐานสากล
“หลังจากนี้ทีมวิจัยของทั้ง 3 หน่วยงานจะพัฒนาโครงการนำร่องในวิสาหกิจชุมชน จากนั้นจะส่งเสริมเกษตรกรเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายต่อไป โดย BBGI จะรับซื้อน้ำมันจากจุลสาหร่ายทั้งหมดเพื่อป้อนเป็นเชื้อเพลิงในโรงงานผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) ของกลุ่มบางจาก คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาน้ำมันจากจุลสาหร่ายประมาณ 1-2 ปี”
นอกจากการวิจัยและพัฒนาแล้ว ความร่วมมือยังครอบคลุมถึงการจัดตั้งคณะทำงานร่วม การวิเคราะห์ด้านการตลาด การบริหารจัดการการลงทุน และการสร้างโมเดลเชิงธุรกิจที่ยั่งยืน โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยต่อยอดงานวิจัยด้านการเกษตรสมัยใหม่ สร้างโอกาสให้เกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมก้าวไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นางสาวปิ่นมณี แก้วดวงสี กรรมการ บริษัท แอดวานซ์ ไบโอคาร์บอน จำกัด กล่าวว่า จากการทำโครงการนำร่องการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายเพื่อผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และผลิตอาหารสัตว์จากจุลสาหร่ายประสบความสำเร็จด้วยดี หลังจากนี้จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรเพื่อส่งเสริมการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่าย ซึ่งผลตอบแทนการลงทุนดีกว่าการปลูกพืชเกษตรอื่นๆ อาทิ ข้าว เพื่อเป็นทางเลือกแก่เกษตรกรชาวไทย
รวมทั้งเตรียมลงทุนตั้งโรงงานสกัดน้ำมันจากสาหร่าย คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างราว 1 ปี โดยกากสาหร่ายยังนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ด้วย ทำให้ต้นทุนการผลิตโครงการนี้แข่งขันได้
การลงนามครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา “Green Energy & Green Economy” ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย แต่ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบีบีจีไอในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน สร้างสมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว