การบินไทยประกาศพร้อมกลับเข้าซื้อขายหุ้น 4 ส.ค.นี้ มั่นใจฐานะการเงินและผลดำเนินงานแข็งแรง โชว์กระแสเงินสดกว่า 1 แสนล้านบาท พลิกโฉมองค์กรสู่การเป็นบริษัทเอกชนที่พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน พร้อมทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดที่ 35% ภายในปี 72
นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในนามของคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่มีความมุ่งมั่นเพื่อนำการบินไทยก้าวสู่ยุคใหม่แห่งการเป็นสายการบินที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และถึงพร้อมด้วยธรรมาภิบาลในการบริหารงานแบบองค์กรเอกชน คณะกรรมการชุดนี้มีความพร้อมทั้งในด้านองค์ความรู้ และวิสัยทัศน์ที่จะร่วมผลักดันองค์กรให้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจ โดยได้รวมผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยคณะกรรมการชุดใหม่ประกอบด้วยกรรมการ 11 คน ซึ่งจำนวน 3 คนเป็นกรรมการของบริษัทตั้งแต่ในช่วงก่อนเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ และกรรมการสองในสามท่านดังกล่าวยังเป็นอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนประกอบด้วยกรรมการเข้าใหม่ 8 ท่านที่ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้นผ่านการพิจารณาตาม Board Skills Matrix เพื่อให้ครอบคลุมความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ เช่น ธุรกิจการบิน การเงิน กฎหมาย กลยุทธ์ การตลาด และเทคโนโลยีดิจิทัล
และมีทีมผู้บริหารจากในช่วงกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งช่วยให้สามารถสานต่อการดำเนินงานของการบินไทยได้อย่างมั่นคง สถานะของบริษัทในวันนี้ถือได้ว่าอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในทุกๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางการเงิน ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน
“สถานะการบินไทยในขณะนี้ถือว่าดีเพราะมีความคล่องตัว คลังถือหุ้น 38% เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งบริษัทฯ มีความชัดเจนในเรื่องของทิศทางการเจริญเติบโต และยุทธศาสตร์ และการบริหารงานที่มีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแปลงตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง ยังไม่มีอะไรที่จะกระทบทำให้ตัวเลขไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนปัญหาการเมืองหรือสถานการณ์เศรษฐกิจหรือความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการนำหุ้นกลับเข้าซื้อขายในวันที่ 4 ส.ค.นี้ เพราะนักลงทุนมองที่ตัวกิจการเป็นหลัก ว่าหุ้นของการบินไทยมีคุณภาพหรือไม่ มีความสามารถในการสร้างรายได้ให้นักลงทุนมากน้อยแค่ไหน”
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย กล่าวว่า การบินไทยได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการและบรรลุครบถ้วนทุกเงื่อนไขอันเป็นผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูฯ ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี นับตั้งแต่ศาลล้มละลายกลางเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการในปี 2564 โดยผลประกอบการที่เติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องสะท้อนถึงความสำเร็จของกระบวนการฟื้นฟูกิจการอย่างชัดเจน โดยในปี 2567 การบินไทยสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 41,515 ล้านบาท และยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งเห็นได้จากในไตรมาส 1 ปี 2568 การบินไทยมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท หรือคิดเป็น EBIT margin สูงที่สุดในกลุ่มสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full-Service) ในเอเชียแปซิฟิกและยุโรปที่ 26.5% (แหล่งที่มาจาก Airline Weekly) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม
และที่สำคัญคือ เรามีคณะกรรมการชุดใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์หลากหลาย ซึ่งจะขับเคลื่อนองค์กรเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน โปร่งใส และแข่งขันได้ในระดับโลก นี่คือการบินไทยในโครงสร้างใหม่ที่แข็งแกร่ง พร้อมทะยานสู่ความสำเร็จในระยะยาว”
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย กล่าวถึงภาพรวมกลยุทธ์การเติบโตของการบินไทยว่า บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ระยะยาวอย่างชัดเจน ได้แก่ 1. การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มความโปร่งใสในทุกกระบวนการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบได้
2. การปรับโครงสร้างฝูงบินและจำนวนเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีเครื่องบินจำนวน 150 ลำในปี 2576 โดยจะลดจำนวนแบบเครื่องบินจาก 8 แบบก่อน เข้าแผนฟื้นฟูกิจการเหลือเพียง 4 แบบ และลดจำนวนเครื่องยนต์จาก 9 แบบเหลือ 5 แบบ ส่งผลให้สามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ก่อนเข้าแผนฟื้นฟูฯ บริษัทมีฝูงบินรวม 103 ลำ โดยปัจจุบันมีฝูงบิน 78 ลำ ทำการบินไปยัง 63 จุดบิน มีรายได้ปี 2567 ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท แสดงถึงขีดความสามารถในการหารายได้ และทำกำไรได้มากกว่า พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากปัจจุบันที่ 26% เป็น 35% ภายในปี 2572 เหมือนที่เคยทำได้ในอดีตที่ผ่านมา
3. การขยายเส้นทางและความถี่ในการบินเพื่อมุ่งสู่การเป็น regional network airline เชื่อมต่อระดับภูมิภาคและระหว่างทวีป
4. การปรับปรุงบริการห้องโดยสารและช่องทางการขายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า
5. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งรวมถึงอย่างเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันเพื่อให้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางการขายตรง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้การบินไทยพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้การบินไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งในอนาคต"
นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี บริษัท การบินไทย กล่าวถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินในปัจจุบันว่า สถานะทางการเงินของการบินไทยปัจจุบีนมีความแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเดิมมาก ซึ่งสะท้อนจากความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร (EBIT Margin) 22.1%
ปัจจุบันมีกระแสเงินสดรวม 1.25 แสนล้านบาท เพียงพอสำหรับการลงทุน โดยมีแผนลงทุนระยะ 5 ปี (65-72) รวม 1.7 แสนล้านบาท แบ่งใช้ลงทุนฝูงบินใหม่ 1.25 แสนล้านบาท, ลงทุนปรับปรุงที่นั่งและอุปกรณ์ภายในเครื่องบิน (Retrofit) A 320 และ B 777-300ER จำนวน 2 หมื่นล้านบาท, ลงทุนอื่นๆ ส่วนใหญ่ลงทุนดิจิทัล 1.5 หมื่นล้านบาท และลงทุนโครงการซ่อมบำรุงอากาศยานที่สนามบินอู่ตะเภา (MRO) 1 หมื่นล้านบาท และยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดหาเงินกู้ระยะยาวจากแหล่งไหนซึ่งมีทั้งการเช่าซื้อ และขายแล้วเช่ากลับ
ขณะที่ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% กำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เท่ากับ 83.3% โดยมีรายได้จากเส้นทางทวีปเอเชียประมาณ 50% เส้นทางยุโรป 30-35% ออสเตรเลีย 10% และภายในประเทศ 5% มีอัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) เท่ากับ 2.91 ใกล้เคียงกับปีก่อน
ส่วนค่าใช้จ่ายปี 2567 อยู่ที่ 1.46 แสนล้านบาท โดยเป็นด้านน้ำมันเชื้อเพลิง 34% ด้านซ่อมบำรุง 14% ด้านบุคลากร 12% และค่าเช่าเครื่องบิน 10% จึงมีกลยุทธ์เรื่องการบริหารจัดการฝูงบินใหม่และเครือข่ายเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาว เครื่องบินใหม่ใช้น้ำมันน้อยลง ลดค่าซ่อมบำรุงตามแบบเครื่องบินที่ลดลง
ความสำเร็จจากการแปลงหนี้และดอกเบี้ยตั้งพักของเจ้าหนี้เป็นทุนกว่า 53,453 ล้านบาท และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการฟื้นฟูกิจการและพนักงานของบริษัทฯ กว่า 22,987 ล้านบาทในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กลับเป็นบวกที่ 55,439 ล้านบาท จากเดิมที่ติดลบเป็นจำนวน 43,142 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E Ratio) เหลือเพียง 2.2 เท่า จาก 12.5 เท่าในปี 2562
“ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง โดยไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการลดยอดหนี้ลง (Hair Cut) ในส่วนหนี้เงินต้นของเจ้าหนี้ทางการเงินและเจ้าหนี้การค้า ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของการบินไทย โดยมีกำหนดคืนหนี้ชัดเจนแล้วตามแผนฟื้นฟูกิจการจนถึงปี 2579 ความสำเร็จนี้เป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก วินัยทางการเงินที่เข้มงวด ตลอดจนความร่วมมือจากเจ้าหนี้พนักงานการบินไทยทุกคนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน”