xs
xsm
sm
md
lg

SCGCตัดสินใจเดินเครื่องรง.LSPอีกครั้งปลายส.ค.-ก.ย.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCGC ลั่นโครงการLSP ที่เวียดนามเดินเครื่องจักรผลิตอีกครั้งในปลายสิงหาคมหรือต้นกันยายนนี้ หลังจากสเปรดปิโตรเคมีดีขึ้น คาดครึ่งปีหลังเฉลี่ย 340-370เหรียญสหรัฐต่อตัน ห่วงผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีตอบโต้สหรัฐฯ

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยว่า SCGCตัดสินใจกลับมาเดินเครื่องจักรโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP)ที่เวียดนามในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นกันยายน 2568 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์HDPEกับวัตถุดิบคือแนฟทา(สเปรด)อยู่ในระดับ340-370เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม


ทั้งนี้ SCGC ได้หยุดเดินเครื่องจักรโครงการLSPเมื่อเดือนตุลาคม 2567 หลังเดินเครื่องผลิตได้เพียง1เดือน เพราะสเปรดต่ำมาก ยิ่งผลิตยิ่งขาดทุนจึงตัดสินใจหยุดผลิตชั่วคราว และลงทุนเพิ่มเติม 500ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบด้วยก๊าซอีเทนป้อนในโรงงานLSP โดนบริษัทเซ็นสัญญาจัดหาอีเทนจากสหรัฐฯ 1ล้านตันต่อปี ระยะยาว 15ปี พร้อมก่อสร้างถังเก็บวัตถุดิบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี2570 ทำให้โครงการLSP มีต้นทุนแข่งขั้นได้จากการใช้วัตถุดิบที่มีราคาถูกอย่างอีเทน

นายศักดิ์ชัย กล่าวว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ(สเปรด)ในไตรมาส3/2568 จะสูงกว่าไตรมาส1/2568 นับว่าอุตฯปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว


อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังมีกำลังการผลิตที่ล้นตลาด เนื่องจากประเทศจีนยังคงมีโครงการปิโตรเคมีใหม่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2570-71 ทำให้โรงงานบางแห่งต้องหยุดผลิตลงและความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น สุดท้ายตลาดเข้าสู่ภาวะสมดุลในอนาคต

ส่วนปัจจัยความท้าทายที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีครึ่งปีหลัง ได้แก่ ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ล่าสุดสหรัฐฯ ปิดดีลเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้กับเวียดนามที่ 20% นั้น มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทในเวียดนาม เพราะว่าสินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายในประเทศ แทบจะไม่ได้ส่งไปสหรัฐฯเลย ส่วนอีเทนภาษีนำเข้าเป็น 0% อยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี สงครามการค้าและการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯจะทำให้สินค้าจากจีนทะลักเข้าไทย รวมถึงเม็ดพลาสติกด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้แข่งขันกับสินค้านำเข้าได้

ทั้งนี้ SCGC มีแผนธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว แบ่งเป็น แผนระยะสั้น ดำเนินการลดต้นทุนวัตถุดิบ ,ลดเงินทุนหมุนเวียน ,ลดค่าใช้จ่ายโดยการนำดิจิทัลและ AI มาใช้,เร่งพัฒนาสินค้า HVA และสินค้า Green ,เร่งขยายธุรกิจ บริการและโซลูชั่นแบบครบวงจร

ส่วนระยะยาว มีการนำเข้าวัตถุดิบอีเทนเพื่อลดต้นทุนในโครงการ LSPในเวียดนาม


กำลังโหลดความคิดเห็น