แอลจี ลั่นกลองรบ เตรียมส่งขุนพล 10 รุ่น ท้าชิงเก้าอี้ผู้นำเครื่องซักผ้าฝาหน้า จากค่าย อีเลคโทรลักซ์ หลังประสบความสำเร็จยึดแชร์เป็นแชมป์ในตลาดรวมไป 26% เมื่อปีที่ผ่านมา มั่นใจปีนี้ยอดขายขยับขึ้นอีกอย่างน้อย 30% หรือกว่า 3 แสนเครื่อง
นายอลงกรณ์ ชูจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดเครื่องซักผ้าในปีนี้ มองว่า ยังเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันกันน้อย คาดว่า การเติบโตในด้านจำนวนนั้นจะโตขึ้นเพียง 5% ส่วนทางด้านมูลค่านั้นอยู่ที่ประมาณ 3% เท่านั้น ขณะเดียวกัน สำหรับราคาในปีนี้ คาดว่า จะไม่ใช่กลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้ทำตลาดในปีนี้อย่างแน่นอน หรืออาจจะมีขยับราคาลงบ้างเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่าไร
อย่างไรก็ตาม จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งจากผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้าทุกหมวด หรือมีอัตราการเติบโตถึง 23% ในปีที่ผ่านมา โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกว่า 26% ยกเว้นเครื่องซักผ้าในกลุ่มฝาหน้า ที่มียอดขายอยู่ในอันดับที่ 3-4 ร่วมกับทางซัมซุง ขณะที่อันดับหนึ่ง คือ อีเลคโทรลักซ์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30-40% อันดับสอง คือ ซีเมนส์
ทั้งนี้ พบว่า เครื่องซักผ้าฝาหน้านั้น ในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงถึง 40% ซึ่งถืออัตราการเติบโตที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเครื่องซักผ้าในหมวดอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมีสัดส่วนเพียง 5% ของเครื่องซักผ้าทั้งหมดก็ตาม
ดังนั้น ในปีนี้ทางบริษัทจะมุ่งทำตลาดเครื่องซักผ้าอย่างจริงจัง ล่าสุด เตรียมเปิดตัวเครื่องซักผ้าฝาหน้าอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้ อย่างน้อย 10 รุ่น โดยเป็นถังเดี่ยวทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้เริ่มทดลองวางจำหน่ายไปแล้วกว่า 6-7 รุ่น ตั้งแต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา คาดว่า จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำเช่นเดียวกับเครื่องซักผ้าในหมวดอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน
“ตลาดเครื่องซักผ้านั้น ถึงแม้ว่าแอลจีจะเป็นผู้นำตลาดรวมอยู่ก็ตาม แต่ยอมรับว่า ในกลุ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้านั้น ยังไม่สามารถเป็นผู้นำได้ โดยสามารถทำได้เพียงอันดับที่ 3-4 ร่วมกับทางซัมซุงเท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์อยู่ จึงทำให้อีเลคโทรลักซ์สามารถครองอันดับหนึ่งในกลุ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้าได้อยู่ เนื่องจากทำตลาดมานานนั้นเอง ดังนั้น ในปีนี้ทางบริษัทจะเน้นทำตลาดเครื่องซักผ้าฝาหน้าโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องซักผ้าทุกหมวดให้ได้”
โดยในปีนี้ทางบริษัทวางงบการตลาดสำหรับเครื่องซักผ้าโดยรวมไว้กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่ใช้ใก้เคียงกับปีที่ผ่านมา มั่นใจว่าสิ้นปียังคงครองความเป็นผู้นำในตลาดด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดไม่ต่ำกว่า 30% จากความต้องการของตลาดในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1 ล้านเครื่อง หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 300,000 แสนเครื่อง เติบโตขึ้นอย่างน้อย 30% โดยเป็นยอดขายที่มาจากเครื่องซักผ้าฝาหน้าประมาณ 5% ขณะเดียวกันเป้าหมายที่วางไว้นี้ ยังคาดว่าจะมาจากเครื่องซักผ้าที่เป็นถังคู่ถึง 50%
“แม้ตลาดรวมจะมีอัตราการเติบโตทางด้านจำนวนเพียง 5% ก็ตาม แต่สำหรับแอลจีคาดว่า อย่างน้อยจะต้องมีอัตราการเติบโตที่ 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน เห็นได้จากในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมานี้ แอลจีมียอดขายเครื่องซักผ้าเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดกียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้นจากการทำตลาดอย่างจริงจังต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ จึงคาดว่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ บริษัท จีเอฟเค มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ไว้ว่า จากตลาดโดยรวมของเครื่องซักผ้าในปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าประมาณ 10,500 ล้านบาท คาดว่า ในปีนี้ตลาดจะเติบโตขึ้นเพียง 5-8% เท่านั้น คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 11,025 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนความต้องการได้กว่า 1 ล้านเครื่อง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
นายอลงกรณ์ ชูจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดเครื่องซักผ้าในปีนี้ มองว่า ยังเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันกันน้อย คาดว่า การเติบโตในด้านจำนวนนั้นจะโตขึ้นเพียง 5% ส่วนทางด้านมูลค่านั้นอยู่ที่ประมาณ 3% เท่านั้น ขณะเดียวกัน สำหรับราคาในปีนี้ คาดว่า จะไม่ใช่กลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้ทำตลาดในปีนี้อย่างแน่นอน หรืออาจจะมีขยับราคาลงบ้างเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่าไร
อย่างไรก็ตาม จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งจากผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้าทุกหมวด หรือมีอัตราการเติบโตถึง 23% ในปีที่ผ่านมา โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกว่า 26% ยกเว้นเครื่องซักผ้าในกลุ่มฝาหน้า ที่มียอดขายอยู่ในอันดับที่ 3-4 ร่วมกับทางซัมซุง ขณะที่อันดับหนึ่ง คือ อีเลคโทรลักซ์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30-40% อันดับสอง คือ ซีเมนส์
ทั้งนี้ พบว่า เครื่องซักผ้าฝาหน้านั้น ในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงถึง 40% ซึ่งถืออัตราการเติบโตที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเครื่องซักผ้าในหมวดอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมีสัดส่วนเพียง 5% ของเครื่องซักผ้าทั้งหมดก็ตาม
ดังนั้น ในปีนี้ทางบริษัทจะมุ่งทำตลาดเครื่องซักผ้าอย่างจริงจัง ล่าสุด เตรียมเปิดตัวเครื่องซักผ้าฝาหน้าอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้ อย่างน้อย 10 รุ่น โดยเป็นถังเดี่ยวทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้เริ่มทดลองวางจำหน่ายไปแล้วกว่า 6-7 รุ่น ตั้งแต่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา คาดว่า จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำเช่นเดียวกับเครื่องซักผ้าในหมวดอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน
“ตลาดเครื่องซักผ้านั้น ถึงแม้ว่าแอลจีจะเป็นผู้นำตลาดรวมอยู่ก็ตาม แต่ยอมรับว่า ในกลุ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้านั้น ยังไม่สามารถเป็นผู้นำได้ โดยสามารถทำได้เพียงอันดับที่ 3-4 ร่วมกับทางซัมซุงเท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์อยู่ จึงทำให้อีเลคโทรลักซ์สามารถครองอันดับหนึ่งในกลุ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้าได้อยู่ เนื่องจากทำตลาดมานานนั้นเอง ดังนั้น ในปีนี้ทางบริษัทจะเน้นทำตลาดเครื่องซักผ้าฝาหน้าโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องซักผ้าทุกหมวดให้ได้”
โดยในปีนี้ทางบริษัทวางงบการตลาดสำหรับเครื่องซักผ้าโดยรวมไว้กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่ใช้ใก้เคียงกับปีที่ผ่านมา มั่นใจว่าสิ้นปียังคงครองความเป็นผู้นำในตลาดด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดไม่ต่ำกว่า 30% จากความต้องการของตลาดในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1 ล้านเครื่อง หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 300,000 แสนเครื่อง เติบโตขึ้นอย่างน้อย 30% โดยเป็นยอดขายที่มาจากเครื่องซักผ้าฝาหน้าประมาณ 5% ขณะเดียวกันเป้าหมายที่วางไว้นี้ ยังคาดว่าจะมาจากเครื่องซักผ้าที่เป็นถังคู่ถึง 50%
“แม้ตลาดรวมจะมีอัตราการเติบโตทางด้านจำนวนเพียง 5% ก็ตาม แต่สำหรับแอลจีคาดว่า อย่างน้อยจะต้องมีอัตราการเติบโตที่ 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน เห็นได้จากในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมานี้ แอลจีมียอดขายเครื่องซักผ้าเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดกียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้นจากการทำตลาดอย่างจริงจังต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ จึงคาดว่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ บริษัท จีเอฟเค มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ไว้ว่า จากตลาดโดยรวมของเครื่องซักผ้าในปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าประมาณ 10,500 ล้านบาท คาดว่า ในปีนี้ตลาดจะเติบโตขึ้นเพียง 5-8% เท่านั้น คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 11,025 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนความต้องการได้กว่า 1 ล้านเครื่อง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ