"ไลอ้อน" เผยตลาดอุปโภคบริโภคยอดขายวูบไตรมาสแรก ระบุเป็นภาวะผิดปกติ ปัจจัยลบรุมเร้าแค่ไหนสินค้าต้องกินต้องใช้ก็ยังฉุย ผู้ประกอบการแห่อัดโปรโมชันก็ไม่กระตุ้น รากหญ้าไม่มีกำลังซื้อ "พิพัฒ" เผยยอดขายไตรมาสแรกวูบ กัดฟันกำไรลด สาดโปรโมชันกระทุ้งกำลังซื้อ
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีอัตราการเติบโตที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวลง ด้วยปัจจัยลบที่รุมเร้าหลายประการ ตั้งแต่ต้นปีมีเหตุการณ์วางระเบิดในช่วงวันเฉลิมฉลองปีใหม่ สถานการณ์ทางการเมือง ความผิดปกติของสภาพอากาศในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคเหนือ เกิดมลภาวะทางอากาศ
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเกิดสถานการณ์ภัยแล้ง และพายุลูกเห็บตก ขณะที่ภาคใต้เกิดเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของ 3ชายแดนภาคใต้ ที่นับวันจะทวีความรุนแรง ทั้งนี้ปัจจัยลบดังกล่าวส่งผลให้ กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง จากที่ผ่านมาผู้บริโภคอาจจะไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น ส่วนด้านผู้ผลิตสินค้าส่งออกต้องผจญกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น รายได้จากการส่งออกจึงลดลง และกระทบเป็นห่วงโซ่ไปถึงการค่าจ้างแรงงานด้วย
"ปกติไม่ว่าเกิดปัจจัยลบใดๆ ขึ้นก็ตาม ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคจะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไม่ดี ขณะนี้กระตุ้นกำลังการซื้อผู้บริโภคอย่างไรก็ไม่กระเตื้อง โดยมองว่ากลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปีนี้ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน อาทิ อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ ฯลฯ คนจะชะลอการตัดสินใจซื้อ"
โปรโมชันไม่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ
นายบุญฤทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคคงจะปรับตัวไปไม่ได้มากกว่านี้ แม้ว่าจะมีการงัดกลยุทธ์โปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ขึ้นมาใช้ล่อใจผู้บริโภคให้สามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้รวดเร็วยิ่งก็ขึ้นตาม ก็จะไม่ได้ผลมากนัก เพราะกำลังการซื้อของคนไม่มี และเชื่อว่าผู้ประกอบการจะไม่แข่งขันทำโปรโมชันที่รุนแรงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
"เรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐจะต้องรีบแก้ไข คือ ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งปัจจุบันอยู่กว่า 35 บาท ต่อดอลลาห์สหรัฐฯ หากภาครัฐแก้ไขค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่กระทบมาก ส่วนเรื่องปัญหาภายในประเทศน่าจะผ่านพ้นไปได้ หลังจากในครึ่งปีหลังมีรัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เงินก็จะสะพัดในระดับรากหญ้ามากขึ้น"
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของบริษัท มีอัตราการเติบโต 5-6% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็น10% ทำให้ในช่วงไตรมาสที่เหลือจากนี้ บริษัทมีความระมัดระวังการใช้งบการตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเพื่อให้รายได้ในสิ้นปีนี้ของบริษัท เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 15% หรือคิดเป็นมูลค่า 8,000 ล้านบาท จากรายได้ปีที่ผ่านบริษัทมี 7,000 ล้านบาท โดยการเติบโตของบริษัทจะมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่จากแบรนด์ที่มีอยู่ และจากการทำสร้างเซกเมนต์ใหม่ๆ ซึ่งล่าสุดโคโดโมแป้งเด็กเนื้อโลชั่น พร้อมกับการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ปนัดดา วงศ์ผู้ดี และน้องอันดามัน ที่ เซ็นทรัล เวิลด์
ชี้ต้องอัดโปรโมชันหนักกระตุ้นยอด
ด้านนายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธาน บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า รายได้ในช่วงไตรมาสแรกของไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ทั้งจากการส่งออกและยอดขายภายในประเทศ มีอัตราการเติบโต 16% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ แต่ยอดขายภายในประเทศ กลับมีอัตราการเติบโตเพียงแค่ 5% เท่านั้น ซึ่งปกติเมื่อเทียบกับปีทีผ่านมาในช่วงไตรมาสแรกต้องมีอัตราการเติบโต 10% ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจหดตัว ขณะที่กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง
อย่างไรก็ตาม สภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างหนักมาก ซึ่งคาดว่าปีนี้จะเกิดสงครามโปรโมชันอย่างหนัก สำหรับแผนการตลาดในช่วงไตรมาสที่เหลือจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการทำตลาดอย่างหนัก โดยเฉพาะความถี่ในการทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นกำลังการซื้อของผู้บริโภค ขณะเดียวกันได้เตรียมเปิดตัวรสชาติใหม่ 4 รสชาติ ทั้งในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซอง ชนิดถ้วย และชนิดชามซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสามของปีนี้
"ปีนี้บริษัทยอมกำไรลดลง 15% จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไร 600 ล้านบาท เนื่องจากต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากการรุกจัดโปรโมชันมากขึ้น และวัตถุดิบแป้งสาลีที่ปรับขึ้น โดยพบว่าในช่วง 2 เดือน กำไรลดลง 16%" นายพิพัฒ กล่าวทิ้งท้าย