สื่อนอกบ้านปีนี้มีลุ้นเติบโตขึ้น 5-10% จากมูลค่าตลาดที่ 4,000 ล้านบาท หลังตกลงสุดๆในปีที่ผ่านมา เหตุปัจจัยบวกหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น บวกเทรนด์ผลิตป้ายในรูปแบบสร้างสรรค์ เตะตาผู้บริโภคมากขึ้น นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณาชี้ การแข่งขันในตลาดไม่รุนแรง ส่วนกรณีย้ายสายการบินในประเทศในประเทศมาบ้านหลังเก่าที่ดอนเมือง อานิสงค์ต่อป้ายโฆษณาย่านวิภาวดี-ดอนเมือง น่าจะกระเตื้องขึ้นกว่า 10% เทียบเท่าก่อนมีสุวรรณภูมิ

นายนพดล ตัณศลารักษ์ นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด บริษัทผู้ผลิตสื่อป้ายโฆษณานอกบ้าน หรือ โอเอชเอ็ม เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ตลาดสื่อป้ายโฆษณานอกบ้านได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน รวมไปถึงเหตุการณความไม่สงบทางภาคใต้ ที่ส่งผลให้ตลาดต้องชะลอลงไปมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา
ส่วนในปีนี้ จึงมองว่า สถานการณ์ต่างๆน่าจะดีขึ้น ตลาดน่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 5-10 % จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ตามที่ เอซี นีลสัน ได้สำรวจมา ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวนั้น มองว่ามาจากความมั่นใจของลูกค้าที่มีมากขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้นนั้นเอง โดยเฉพาะหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้ ยิ่งมั่นใจว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้มองว่า เทรนด์ของการผลิตป้านโฆษณาในปีนี้ ยังมีผลต่อการเติบโตของตลาด รวมไปถึงภาพรวมของการแข่งขันอีกด้วย โดยมองว่าจากการที่ลูกค้ามีความระมัดระวังในการใช้เงินสำหรับการเลือกใช้สื่อโฆษณามากขึ้นนั้น ทำให้การสร้างสรรค์สื่อป้ายโฆษณามีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ในการที่จะต้องตอบโจทย์ลูกค้า รวมทั้งต้องสามารถสื่อความหมายได้ง่าย ให้ผู้บริโภคเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความสร้างสรรค์ป้ายที่จะต้องสะดุดตา และเป็นที่จดจำได้ง่ายเช่นเดียวกัน
“เทรนด์ป้ายโฆษณาในปีนี้จะต้องตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังจะต้องมีการสร้างสรรค์ออกมาให้เกิดความสะดุดตา และสร้างการจดจำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวอาจจะทำให้ลูกค้ายังคงจ่ายราคามีเดีย หรือค่าเช่าป้ายเท่าเดิม แต่ราคาค่าผลิตสื่อมีเดียอาจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ผลตอบรับที่ได้กลับมา เชื่อมั่นว่าจะดีมาก”
ส่วนการแข่งขันในปีนี้มองว่า ปัจจัยหลักยังอยู่ที่ทำเล รองลงคือ เทรนด์ความสร้างสรรค์ของการผลิตป้ายออกมา ที่คาดว่าจะมาทดแทนความได้เปรียบในเรื่องของทำเลได้บ้างบางส่วน นอกจากนี้ในเรื่องของการทำตลาดนั้น จะเน้นในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้าแต่ยังคงราคาเดิมไว้
อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ป้ายโฆษณาย่านทำเลดอนเมือง ถนน วิภาวดี หลังจากที่สายการบินในประเทศบางส่วนต้องย้ายกลับมาที่ดอนเมืองว่า ขณะนี้กระแสการเช่าป้ายโฆษณาย่านดอนเมืองเริ่มดีขึ้น หลังจากที่มีป้ายโฆษณาบางส่วนไม่มีลูกค้าเช่าเลย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10% ที่หายไป คาดว่าใน 2-3 เดือนนับจากนี้ สถานการณ์การเช่าป้ายย่านดังกล่าว จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับตอนที่ยังไม่มีสนามบินสุวรรณภูมิเกิดขึ้น
นายนภดล ได้กล่าวในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัดอีกว่า สำหรับจำนวนป้ายที่ทางบริษัทฯมีในย่านดอนเมืองนั้น มีจำนวนกว่า 30 ป้าย ซึ่งก่อนที่จะเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ มีการให้เช่าป้ายโฆษณาอยู่ในอัตราประมาณ 70-80% แต่หลังจากที่เปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิไปประมาณ 5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น เหลือจำนวนป้ายโฆษณาที่ยังคงมีการเช่าอยู่ไม่ถึง 40%
อย่างไรก็ตามขณะนี้เริ่มมีลูกค้าเข้ามาเจรจาขอเช่าป้ายโฆษณาบ้างแล้ว คาดว่าในระยะ2-3 เดือนข้างหน้านี้ จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติเช่นเดิม
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในปีนี้กว่า 700 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 10-15% มาจากการเปิดตัวโครงการใหม่กว่า 10 โครงการในปีนี้ ในการที่จะนำเอาเทคโนโลยีป้ายในรูปแบบใหม่เข้ามาใช้ โดยแต่ละโครงการมีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท เป็นภาครัฐประมาณ 50% และเอกชน 50%
นายนพดล ตัณศลารักษ์ นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด บริษัทผู้ผลิตสื่อป้ายโฆษณานอกบ้าน หรือ โอเอชเอ็ม เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ตลาดสื่อป้ายโฆษณานอกบ้านได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน รวมไปถึงเหตุการณความไม่สงบทางภาคใต้ ที่ส่งผลให้ตลาดต้องชะลอลงไปมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา
ส่วนในปีนี้ จึงมองว่า สถานการณ์ต่างๆน่าจะดีขึ้น ตลาดน่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 5-10 % จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 4,000 ล้านบาท ตามที่ เอซี นีลสัน ได้สำรวจมา ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวนั้น มองว่ามาจากความมั่นใจของลูกค้าที่มีมากขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้นนั้นเอง โดยเฉพาะหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้ ยิ่งมั่นใจว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้มองว่า เทรนด์ของการผลิตป้านโฆษณาในปีนี้ ยังมีผลต่อการเติบโตของตลาด รวมไปถึงภาพรวมของการแข่งขันอีกด้วย โดยมองว่าจากการที่ลูกค้ามีความระมัดระวังในการใช้เงินสำหรับการเลือกใช้สื่อโฆษณามากขึ้นนั้น ทำให้การสร้างสรรค์สื่อป้ายโฆษณามีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ในการที่จะต้องตอบโจทย์ลูกค้า รวมทั้งต้องสามารถสื่อความหมายได้ง่าย ให้ผู้บริโภคเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความสร้างสรรค์ป้ายที่จะต้องสะดุดตา และเป็นที่จดจำได้ง่ายเช่นเดียวกัน
“เทรนด์ป้ายโฆษณาในปีนี้จะต้องตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังจะต้องมีการสร้างสรรค์ออกมาให้เกิดความสะดุดตา และสร้างการจดจำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวอาจจะทำให้ลูกค้ายังคงจ่ายราคามีเดีย หรือค่าเช่าป้ายเท่าเดิม แต่ราคาค่าผลิตสื่อมีเดียอาจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ผลตอบรับที่ได้กลับมา เชื่อมั่นว่าจะดีมาก”
ส่วนการแข่งขันในปีนี้มองว่า ปัจจัยหลักยังอยู่ที่ทำเล รองลงคือ เทรนด์ความสร้างสรรค์ของการผลิตป้ายออกมา ที่คาดว่าจะมาทดแทนความได้เปรียบในเรื่องของทำเลได้บ้างบางส่วน นอกจากนี้ในเรื่องของการทำตลาดนั้น จะเน้นในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้าแต่ยังคงราคาเดิมไว้
อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ป้ายโฆษณาย่านทำเลดอนเมือง ถนน วิภาวดี หลังจากที่สายการบินในประเทศบางส่วนต้องย้ายกลับมาที่ดอนเมืองว่า ขณะนี้กระแสการเช่าป้ายโฆษณาย่านดอนเมืองเริ่มดีขึ้น หลังจากที่มีป้ายโฆษณาบางส่วนไม่มีลูกค้าเช่าเลย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10% ที่หายไป คาดว่าใน 2-3 เดือนนับจากนี้ สถานการณ์การเช่าป้ายย่านดังกล่าว จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับตอนที่ยังไม่มีสนามบินสุวรรณภูมิเกิดขึ้น
นายนภดล ได้กล่าวในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัดอีกว่า สำหรับจำนวนป้ายที่ทางบริษัทฯมีในย่านดอนเมืองนั้น มีจำนวนกว่า 30 ป้าย ซึ่งก่อนที่จะเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ มีการให้เช่าป้ายโฆษณาอยู่ในอัตราประมาณ 70-80% แต่หลังจากที่เปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิไปประมาณ 5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น เหลือจำนวนป้ายโฆษณาที่ยังคงมีการเช่าอยู่ไม่ถึง 40%
อย่างไรก็ตามขณะนี้เริ่มมีลูกค้าเข้ามาเจรจาขอเช่าป้ายโฆษณาบ้างแล้ว คาดว่าในระยะ2-3 เดือนข้างหน้านี้ จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติเช่นเดิม
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในปีนี้กว่า 700 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 10-15% มาจากการเปิดตัวโครงการใหม่กว่า 10 โครงการในปีนี้ ในการที่จะนำเอาเทคโนโลยีป้ายในรูปแบบใหม่เข้ามาใช้ โดยแต่ละโครงการมีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 100-200 ล้านบาท เป็นภาครัฐประมาณ 50% และเอกชน 50%