เอ็มบีเค เตรียมผุดชอปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งใหม่ย่านใจกลางเมือง หลังเกิดความไม่แน่ใจในการต่อสัญญาเช่าพื้นที่กับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมระดมทุนขายหุ้นกู้อีกกว่า 5,000 ล้านบาท รองรับการสยายปีกในระยะ 3-5 ปี พร้อมโชว์แผนการลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ลุยธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์กว่าครึ่ง ฟากธุรกิจรีเทล พร้อมพัฒนาพื้นที่ อัดโฆษณาต่อเนื่อง หวังเรียกลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทั้งหมด หลังพบรายได้หดตัวลงเล็กน้อย พร้อมฉุดรายได้รวมเหลือเพียง 5,500ล้านบาท จากเป้าเดิมที่วางไว้กว่า 5,700 ล้านบาท
นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความสนใจที่จะลงทุนทางด้านชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ เซ็นเตอร์อีกแห่งย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับทางพันธมิตร 1 ราย ที่จะเข้ามาลงทุนด้วยกัน ขณะที่ศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้ บริษัทฯสนใจที่จะทำทั้งในรูปแบบการร่วมทุน การพัฒนาที่ดินใหม่ รวมถึงการเข้าไปเทคโอเวอร์ โดยมองไว้หลายทำเล แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเลือกที่ใด ส่วนการลงทุนในครั้งนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนค่อนข้างสูง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะยังไม่สรุปรายละเอียด
หวั่นจุฬาฯไม่ต่อสัญญา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้เอ็มบีเออาจจะสร้างขึ้นเพื่อทดแทนศูนย์การค้าเอ็มบีเคเดิมที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าที่ดินกับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2556 ที่จะถึงนี้ ซึ่งกลัวว่าทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอาจจะไม่อนุมัติการต่อสัญญาเช่าครั้งนี้หรือไม่ นายสุเวทย์ตอบแต่เพียงว่า ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2528 หรือกว่า 23 ปี ทำให้แบรนด์เอ็มบีเคเป็นที่รู้จักทั้งในลูกค้าต่างประเทศและในประเทศเป็นอย่างดี
หากทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่อนุมัติการต่อสัญญานั้น ทางบริษัทฯยอมรับว่า ค่อนข้างเสียดายแบรนด์สินค้าดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ทางบริษัทฯมีการนำแบรนด์ เอ็มบีเค ไปต่อยอดดำเนินธุรกิจทางด้านอื่นๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งแบรนด์ รวมถึงเป็นการวางแผนธุรกิจในระยะยาว หากวันหนึ่งทางทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่อนุมัติการต่อสัญญาเช่านั้นเอง
“ทางบริษัทฯกำลังจะหมดสัญญาเช่าพื้นที่กับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2556 นี้ ซึ่งสัญญาเช่าดังกล่าวมีระยะเวลาทั้งสิ้น 30 ปี บนพื้นที่เช่ากว่า 23 ไร่ ทั้งนี้ตามสัญญาระบุไว้ว่า ก่อนหมดสัญญาภายใน 5 ปี ทางบริษัทฯจะต้องมีการตกลงเจรจาการต่อสัญญาเช่าพื้นที่ต่อให้เรียบร้อยว่าจะออกมาในทิศทางใด ซึ่งในขณะนี้ทางบริษัทฯได้เริ่มเจรจากับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปบ้างแล้ว ส่วนทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมีผลออกมาเป็นเช่นใดนั้น ยังไม่ทราบได้”
ทางบริษัทฯยังมีแผนระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้อีกกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเริ่มจากยอดเงิน 3,000 ล้านบาทแรกนั้น อีก 2-3 เดือนจะเริ่มออกขายได้ ซึ่งระยะเวลาของหุ้นกู้นี้จะอยู่ที่ 3-5 ปี และจะเปิดขายสำหรับบุคคลทั่วไป ขณะที่ยอดเงิน 3,000 ล้านบาทนี้ ส่วนหนึ่งประมาณ 1,800 ล้านบาท จะนำไปชำระหนี้รวมถึงหุ้นกู้ที่ค้างอยู่ และในส่วนที่เหลือจะนำๆไปพัฒนาและลงทุนกับธุรกิจในกลุ่มต่างๆต่อไป ส่วนยอดเงินอีก 2,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าอีก 2-3 ปีจึงจะออกขายได้ โดยยอดเงินดังกล่าวจะนำไปลงทุนกับธุรกิจอื่นๆที่ได้วางแผนไว้ต่อไป ส่วนจะนำไปพัฒนาในส่วนใดนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปีนี้ของกลุ่มบริษัทเอ็มบีเคได้เตรียมลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในหลายๆธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ อาทิ ธุรกิจโรงแรม ได้แก่โรงแรมที่เกาะสมุย จะลงทุนอีก 300 ล้านบาท ธุรกิจสนามกอล์ฟที่ภูเก็ต ใช้งบลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านบาท เนื่องจากได้ที่ดินเพิ่ม จึงได้มีการขยายสนามกอล์ฟเพิ่มขึ้นอีก 18 หลุม ขณะนี้เปิดให้บริการอยู่ที่ 9 หลุม คาดว่าภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ จะเปิดให้บริการครบทั้ง 18 หลุม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาที่ดินรอบๆสนามกอล์ฟในการทำเป็นบ้านพักต่างอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังได้มีการซื้อที่ดินที่พัทยา มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท อีกแห่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2549 ที่ผ่านมา สำหรับเอาไว้พัฒนารองรับการเจริญเติบโตในอนาคต โดยที่ดินดังกล่าว ยังติดสัญญาเช่าอีก 5 ปี ของโรงแรมมณเฑียร ดังนั้นหากจะนำที่ดินดังกล่าวมาพัฒนานั้น คาดว่าจะเริ่มได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจรีเทล หรือศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ จะใช้งบลงทุนอีกกว่า 100 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงพื้นที่การขาย และการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ ที่มีกว่า 21% ให้เพิ่มเป็น 30 % ของจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการทั้งหมดในแต่ละวันเฉลี่ยที่ 100,000 คน
นายสุเวทย์ กล่าวในตอนท้ายว่า รายได้ในปีงบประมาณ 2549 ที่จะปิดในเดือนมิถุนายน ปี 2550 นี้ คาดว่ารายได้จะลดลงเล็กน้อย จาก 5,700 ล้านบาท เหลือเพียง 5,500 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ลดลงมาจากกลุ่มธุรกิจรีเทลหรือการบริหารศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา มีปัจจัยลบเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเมืองและเศรษฐกิจ
สำหรับผลประกอบการแยกรายได้มาจาก กลุ่มธุรกิจรีเทล 30%, ธุรกิจโรงแรม 15% โดยคาดว่าในอีก 3-5 ปีจะสร้างยอดขายได้กว่า 25% และอสังหาริมทรัพย์มีประมาณ 5% นอกจากนี้ยังมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆอีกเช่น ธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจทัวร์ และการเข้าไปถือหุ้นในกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ อีกกว่า 30%
นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความสนใจที่จะลงทุนทางด้านชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ เซ็นเตอร์อีกแห่งย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับทางพันธมิตร 1 ราย ที่จะเข้ามาลงทุนด้วยกัน ขณะที่ศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้ บริษัทฯสนใจที่จะทำทั้งในรูปแบบการร่วมทุน การพัฒนาที่ดินใหม่ รวมถึงการเข้าไปเทคโอเวอร์ โดยมองไว้หลายทำเล แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเลือกที่ใด ส่วนการลงทุนในครั้งนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนค่อนข้างสูง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะยังไม่สรุปรายละเอียด
หวั่นจุฬาฯไม่ต่อสัญญา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้เอ็มบีเออาจจะสร้างขึ้นเพื่อทดแทนศูนย์การค้าเอ็มบีเคเดิมที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าที่ดินกับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2556 ที่จะถึงนี้ ซึ่งกลัวว่าทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอาจจะไม่อนุมัติการต่อสัญญาเช่าครั้งนี้หรือไม่ นายสุเวทย์ตอบแต่เพียงว่า ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2528 หรือกว่า 23 ปี ทำให้แบรนด์เอ็มบีเคเป็นที่รู้จักทั้งในลูกค้าต่างประเทศและในประเทศเป็นอย่างดี
หากทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่อนุมัติการต่อสัญญานั้น ทางบริษัทฯยอมรับว่า ค่อนข้างเสียดายแบรนด์สินค้าดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ทางบริษัทฯมีการนำแบรนด์ เอ็มบีเค ไปต่อยอดดำเนินธุรกิจทางด้านอื่นๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งแบรนด์ รวมถึงเป็นการวางแผนธุรกิจในระยะยาว หากวันหนึ่งทางทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่อนุมัติการต่อสัญญาเช่านั้นเอง
“ทางบริษัทฯกำลังจะหมดสัญญาเช่าพื้นที่กับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2556 นี้ ซึ่งสัญญาเช่าดังกล่าวมีระยะเวลาทั้งสิ้น 30 ปี บนพื้นที่เช่ากว่า 23 ไร่ ทั้งนี้ตามสัญญาระบุไว้ว่า ก่อนหมดสัญญาภายใน 5 ปี ทางบริษัทฯจะต้องมีการตกลงเจรจาการต่อสัญญาเช่าพื้นที่ต่อให้เรียบร้อยว่าจะออกมาในทิศทางใด ซึ่งในขณะนี้ทางบริษัทฯได้เริ่มเจรจากับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปบ้างแล้ว ส่วนทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมีผลออกมาเป็นเช่นใดนั้น ยังไม่ทราบได้”
ทางบริษัทฯยังมีแผนระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้อีกกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเริ่มจากยอดเงิน 3,000 ล้านบาทแรกนั้น อีก 2-3 เดือนจะเริ่มออกขายได้ ซึ่งระยะเวลาของหุ้นกู้นี้จะอยู่ที่ 3-5 ปี และจะเปิดขายสำหรับบุคคลทั่วไป ขณะที่ยอดเงิน 3,000 ล้านบาทนี้ ส่วนหนึ่งประมาณ 1,800 ล้านบาท จะนำไปชำระหนี้รวมถึงหุ้นกู้ที่ค้างอยู่ และในส่วนที่เหลือจะนำๆไปพัฒนาและลงทุนกับธุรกิจในกลุ่มต่างๆต่อไป ส่วนยอดเงินอีก 2,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าอีก 2-3 ปีจึงจะออกขายได้ โดยยอดเงินดังกล่าวจะนำไปลงทุนกับธุรกิจอื่นๆที่ได้วางแผนไว้ต่อไป ส่วนจะนำไปพัฒนาในส่วนใดนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปีนี้ของกลุ่มบริษัทเอ็มบีเคได้เตรียมลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในหลายๆธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ อาทิ ธุรกิจโรงแรม ได้แก่โรงแรมที่เกาะสมุย จะลงทุนอีก 300 ล้านบาท ธุรกิจสนามกอล์ฟที่ภูเก็ต ใช้งบลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านบาท เนื่องจากได้ที่ดินเพิ่ม จึงได้มีการขยายสนามกอล์ฟเพิ่มขึ้นอีก 18 หลุม ขณะนี้เปิดให้บริการอยู่ที่ 9 หลุม คาดว่าภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ จะเปิดให้บริการครบทั้ง 18 หลุม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาที่ดินรอบๆสนามกอล์ฟในการทำเป็นบ้านพักต่างอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังได้มีการซื้อที่ดินที่พัทยา มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท อีกแห่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2549 ที่ผ่านมา สำหรับเอาไว้พัฒนารองรับการเจริญเติบโตในอนาคต โดยที่ดินดังกล่าว ยังติดสัญญาเช่าอีก 5 ปี ของโรงแรมมณเฑียร ดังนั้นหากจะนำที่ดินดังกล่าวมาพัฒนานั้น คาดว่าจะเริ่มได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจรีเทล หรือศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ จะใช้งบลงทุนอีกกว่า 100 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงพื้นที่การขาย และการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ ที่มีกว่า 21% ให้เพิ่มเป็น 30 % ของจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการทั้งหมดในแต่ละวันเฉลี่ยที่ 100,000 คน
นายสุเวทย์ กล่าวในตอนท้ายว่า รายได้ในปีงบประมาณ 2549 ที่จะปิดในเดือนมิถุนายน ปี 2550 นี้ คาดว่ารายได้จะลดลงเล็กน้อย จาก 5,700 ล้านบาท เหลือเพียง 5,500 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ลดลงมาจากกลุ่มธุรกิจรีเทลหรือการบริหารศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา มีปัจจัยลบเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเมืองและเศรษฐกิจ
สำหรับผลประกอบการแยกรายได้มาจาก กลุ่มธุรกิจรีเทล 30%, ธุรกิจโรงแรม 15% โดยคาดว่าในอีก 3-5 ปีจะสร้างยอดขายได้กว่า 25% และอสังหาริมทรัพย์มีประมาณ 5% นอกจากนี้ยังมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆอีกเช่น ธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจทัวร์ และการเข้าไปถือหุ้นในกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ อีกกว่า 30%