อีเลคโทรลักซ์ เปิดตัวเทคโนโลยีระบบลากูน สำหรับการซักแห้งใหม่ล่าสุด พร้อมทุ่มเม็ดเงินกว่า 10 ล้านบาท ลุยทำตลาดต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ปัดฝุ่น "ลอนดรี้ เอกซ์เพรส" อีก 10 ร้าน เข้าสู่ระบบลากูน พร้อมเจาะกลุ่มโปรเฟสชัลนอล คาดมีผู้ตอบรับรวม 20 ร้านใน 1 ปี มั่นใจรายได้เพิ่มขึ้นอีก 50% ในปีหน้า หรือมีรายได้ถึง 270-280 ล้านบาท
นายคริสต์ ซิสเทอร์นาส รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด อีเลคโทรลักซ์ ลอนดรี้ซิสเต็มส์ สำนักงานใหญ่ ประเทศอิตาลี เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เตรียมงบการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการซักทำความสะอาดที่จะมาทดแทนการซักแห้งในแบบปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี จนออกมาเป็น "ระบบลากูน" ซึ่งในขณะนี้ทำการลอนท์ในประเทศแถบยุโรป เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ และเยอรมนี ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ไทยถือเป็นประเทศแรกที่เปิดตัว ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลียกำลังจะเปิดตัวในเร็วๆนี้ โดยคาดว่าตลาดที่โตเร็วที่สุด คือ ญี่ปุ่น
สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทฯได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 10 ล้านบาท เน้นการทำไดเร็กแคมเปญ เช่น การออกบู้ทตามงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปอีก 70% โดยจะเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ที่การซักแห้งด้วยระบบลากูน จะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
ทั้งนี้ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ คาดว่าจะมีผู้สนใจธุรกิจการซักแห้งด้วยระบบลากูนจำนวน 20 ร้านค้า ซึ่งการทำตลาดในครั้งนี้ บริษัทฯ จะเน้นไปยังกลุ่มโรงพยาบาล และโรงแรมเป็นหลัก รวมไปถึง เอาท์เลท "ลอนดรี้ เอ็กซ์เพรส" ที่เหลืออยู่ประมาณ 10 จุด ในกรุงเทพมหานคร จากเดิมที่เคยมีถึง 40 จุด บริษัทฯ จะแนะนำให้ติดตั้งระบบลากูลเข้าไปใช้อีกส่วนหนึ่งด้วย เนื่องจาก เอาท์เลททั้ง 10 จุดนั้น มีศักยภาพที่ดีต่อการทำธุรกิจซักแห้งด้วยระบบลากูล
สำหรับผู้ที่สนใจเปิดร้านซักแห้งด้วยระบบลากูนนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบการลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท ประกอบด้วย เครื่องอบผ้า เครื่องรีดผ้า โต๊ะรีดผ้า และเครื่องคืนสภาพเสื้อผ้า หลังจากเปิดให้บริการแล้วคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะที่ค่าบริการเฉลี่ยจากระบบลากูน จะสูงกว่าระบบซักแห้งทั่วไปประมาณ 10%
นายถวิล จวนรมณีย์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มอุตสาหกรรมซักอบรีด บริษัท อีเลคโทรลักซ์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การนำเอาระบบลากูนมาทำตลาดในประเทศครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กลุ่มอุตสาหกรรมซักอบรีดของบริษัทฯมีรายได้เติบโตขึ้นถึง 50% ในปีหน้า หรือมีรายได้อยู่ที่ 270-280 ล้านบาท จากที่ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในกลุ่มอุตสาหกรรมซักอบรีดไว้เพียง 200 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 10%
อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดซักอบรีดในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่คือ ระดับทั่วไป 80 % และกลุ่มมืออาชีพ 20 % ซึ่งตลาดในกลุ่มมืออาชีพคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1,000 ล้านบาท ขณะที่ 1 ใน 3 ของตลาด จะเป็นร้านซักแห้งที่ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือจากอีเลคโทรลักซ์ รองลงมาคือ แบรนด์อิมเมจ