xs
xsm
sm
md
lg

สตีเบลฯโยกเก้าอี้พานาโซนิค ทุ่ม30ล.ลุย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นคึกคักรับลมหนาว สตีเบล เอลทรอน ประกาศศึกท้าชนแชมป์ เตรียมโยกเก้าอี้ผู้นำใน 3-5 ปี หลังเบียดขึ้นแท่นเบอร์สองในปีนี้ ล่าสุดพลิกตำราปรับกลยุทธ์ลงศึก ทุ่ม 30 ล้านบาททำตลาดเต็มพิกัด มั่นใจสิ้นปีมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท

นายโรลานด์ เฮออ์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีเบล เอลทรอน เอเซีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องทำน้ำอุ่น – น้ำร้อน “สตีเบล เอลทรอน” และ “เออีจี” จากประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯได้มีการลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาท สำหรับการก่อตั้งโรงงานเพื่อเป็นฐานการผลิตเครื่องทำน้ำอุ่น-น้ำร้อน “สตีเบล เอลทรอน” และ “เออีจี” ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดอยุธยา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาสินค้าที่วางจำหน่ายนั้น มีราคาลดลง 50 % เพราะต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง

โดยถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ สตีเบล จากเดิมที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อ 4 ปีก่อน ที่มีมาร์เก็ตแชร์เพียง 2% ขณะนี้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสองในตลาด ด้วยยอดขายรวมกว่า 7 แสนเครื่อง มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 25%

ขณะที่สินค้าที่จำหน่ายอยู่นั้นจะมีอยู่ 2 แบรนด์ คือ แบรนด์ สตีเบล เอลทรอน จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท เน้นจับกลุ่มตลาดบน และแบรนด์ เออีจี จะมีราคาต่ำกว่าประมาณ 500 บาท จับกลุ่มตลาดกลางถึงล่าง

“การก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสองในตลาดครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จตามคาดที่บริษัทฯได้วางเป้าหมายไว้ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ดังนั้นหลังจากนี้ไป บริษัทฯจึงต้องมีการจัดแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับเป้าหมายใหม่ที่ยากขึ้นกว่าเดิม นั้นคือ การเป็นผู้นำในตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นในอีก 3-5 ปี หรือมีมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 50%”

ล่าสุดบริษัทฯได้เตรียมงบไว้กว่า 30 ล้านบาทในปีนี้ สำหรับการดำเนินการด้านการตลาด เพื่อปูทางนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ล่าสุดบริษัทฯได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณา โดยจะออกอากาศในเดือนตุลาคนนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของทางสตีเบลฯ ที่ได้หันมาทำตลาดรีเทลเต็มรูปแบบ จากเดิมที่จะโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านทางนิตยสารและบิลบอร์ดทั่วไป

อีกทั้งบริษัทฯยังได้ร่วมมือกับทางบริษัท แบรนด์เคอเรจ บริษัทดูแลวางแผนการตลาดระดับโลก เข้ามาช่วยวางแผนดำเนินการด้านการตลาดให้อีกทางหนึ่งด้วย คาดว่าจะทำให้ปีหน้าจะยังคงเป็นที่สอง แต่จะมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 35% ได้อย่างแน่นอน

ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลักอยู่ 3 ช่องทาง คือ ดีลเล่อร์ 450 ราย คิดเป็นรายได้ประมาณ 40% โมเดิร์นเทรด 50 สาขา คิดเป็นรายได้ 30 % และโปรเจกต์ 300 โครงการ คิดเป็นรายได้ 30%

อย่างไรก็ตามในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดขายกว่า 5 หมื่นยูนิต มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ขณะที่อีก 3 เดือนนับจากนี้ คาดว่าจะมียอดขายเดือนละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นเครื่อง หรือทั้งปีบริษัทฯมียอดขายรวมกว่า 8 หมื่นเครื่อง คิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดรวมในปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น 3-4% เท่านั้น โดยมีพานาโซนิคเป็นผู้นำด้วนมาร์เก็ตแชร์ 40%
กำลังโหลดความคิดเห็น