"วราเทพ"เผยการจัดทำงบประมาณชัดเจนขึ้น หลัง กกต.ถูกศาลตัดสินจำคุก ระบุกรอบการจัดทำงบประมาณต้องรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ตัดสิน เพราะต้องอิงกับแผนนโยบาย โดยการเบิกจ่ายงบปี 50 จะล่าช้าเพียง 6 เดือนตามคาด ด้านผู้อำนวยการ สศค.ระบุการจัดเก็บรายได้ปี 49 จะใกล้เคียงประมาณการ 1.36 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้นิติบุคคล และผลประกอบการของธุรกิจในครึ่งปีหลัง

นายวราเทพ รัตนากร รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากศาลอาญาได้ทำการตัดสินเกี่ยวกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะสำนักงบประมาณได้จัดทำปฏิทินขั้นตอนการดำเนินจัดทำงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรีแล้ว ทำให้คาดว่า สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณางบประมาณได้ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2550 และทำให้การใช้จ่ายงบประมาณปี 2550 ล่าช้าเพียง 6 เดือนตามที่คาดไว้ ส่วนกรอบการจัดทำงบประมาณปี 2550 ว่าจะขาดดุลหรือสมดุล ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่เมื่อมีการเลือกตั้งแล้วเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะต้องจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติราชการที่ประกาศต่อสภา และการหาเสียงกับประชาชน
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วานนี้ (25 ก.ค.) นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการ สศค. และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาการคาดการณ์รายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2549 จะเก็บได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 1.36 ล้านล้านบาท เพราะในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. 48 – มิ.ย.49) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลยังเกินเป้าหมายอยู่ 7,738 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ภาษีของกรมสรรพสามิตจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 27,260 ล้านบาท เพราะการลดภาษีน้ำมันดีเซล 1 บาท เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายต่อประชาชน และการจัดเก็บรายได้ภาษีของกรมศุลกากรต่ำกว่าเป้าหมาย 16,463 ล้านบาท เนื่องจากการปรับโครงสร้างอากรขาเข้าในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ รวมทั้งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ และผลกระทบจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่าง ๆ ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 2549
สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่า การจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ 2549 จะได้เกินเป้าหรือต่ำกว่าเป้านั้น ได้แก่ การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากผลประกอบการของธุรกิจครึ่งปีแรกของปี 2549 ซึ่งจะจัดเก็บในเดือนสิงหาคม 2549 ทำให้กระทรวงการคลังคาดว่า จะสามารถจัดเก็บรายได้รัฐบาลทั้งปีใกล้เคียงกับประมาณการที่ตั้งไว้ 1.36 ล้านล้านบาท
นายวราเทพ รัตนากร รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากศาลอาญาได้ทำการตัดสินเกี่ยวกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะสำนักงบประมาณได้จัดทำปฏิทินขั้นตอนการดำเนินจัดทำงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรีแล้ว ทำให้คาดว่า สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณางบประมาณได้ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2550 และทำให้การใช้จ่ายงบประมาณปี 2550 ล่าช้าเพียง 6 เดือนตามที่คาดไว้ ส่วนกรอบการจัดทำงบประมาณปี 2550 ว่าจะขาดดุลหรือสมดุล ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่เมื่อมีการเลือกตั้งแล้วเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะต้องจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติราชการที่ประกาศต่อสภา และการหาเสียงกับประชาชน
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วานนี้ (25 ก.ค.) นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการ สศค. และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาการคาดการณ์รายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2549 จะเก็บได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 1.36 ล้านล้านบาท เพราะในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. 48 – มิ.ย.49) การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลยังเกินเป้าหมายอยู่ 7,738 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ภาษีของกรมสรรพสามิตจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 27,260 ล้านบาท เพราะการลดภาษีน้ำมันดีเซล 1 บาท เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายต่อประชาชน และการจัดเก็บรายได้ภาษีของกรมศุลกากรต่ำกว่าเป้าหมาย 16,463 ล้านบาท เนื่องจากการปรับโครงสร้างอากรขาเข้าในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ รวมทั้งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ และผลกระทบจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่าง ๆ ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีงบประมาณ 2549
สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่า การจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ 2549 จะได้เกินเป้าหรือต่ำกว่าเป้านั้น ได้แก่ การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากผลประกอบการของธุรกิจครึ่งปีแรกของปี 2549 ซึ่งจะจัดเก็บในเดือนสิงหาคม 2549 ทำให้กระทรวงการคลังคาดว่า จะสามารถจัดเก็บรายได้รัฐบาลทั้งปีใกล้เคียงกับประมาณการที่ตั้งไว้ 1.36 ล้านล้านบาท