ธุรกิจโรงภาพยนตร์สะเทือน เอสเอฟ เดินหน้าลุยโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ ทุ่ม 2,000 ล้านบาท เพิ่มฐานโรงหนัง 7-8 สาขา เน้นเปิดร่วมกับศูนย์การค้าเป็นหลัก คาด 3 ปีกินแชร์เพิ่มเป็น 40% ล่าสุดช่วงไตรมาสสาม เตรียมเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ และท่าพระ มั่นใจสิ้นปีมีมาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 30% พร้อมกวาดรายได้ขยับขึ้นอีก 10% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
นายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจในปีนี้จะไม่ดีนัก แต่สำหรับธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงแล้วไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด จึงทำให้บริษัทฯยังคงเดินหน้าลงทุนขยายสาขาโรงภาพยนตร์เพิ่มอีกในปีนี้ เบื้องต้นได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 2,000 ล้านบาท ในการลงทุนเปิดโรงภาพยนตร์เพิ่มไม่ต่ำกว่า 7-8 สาขา เฉลี่ยแต่ละสาขาจะมีเปิดประมาณ 8-14 โรง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายใน 2-3 ปี และจะช่วยเพิ่มแชร์จากเดิมในปัจจุบันที่มี 27-28% นั้น เพิ่มขึ้นเป็น 40% ได้อย่างแน่นอน
“ที่ผ่านมาบริษัทฯจะมุ่งที่จะการสร้างฐานลูกค้าเป็นหลัก แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ บริษัทฯจะหันมาเน้นในส่วนของการขยายตัวในการเพิ่มสาขามากขึ้น ซึ่งงบลงทุนที่ใช้นั้นถือเป็นงบลงทุนที่สูงที่สุดที่บริษัทฯเคยใช้มา ส่วนแต่ละสาขาที่จะเปิดนั้น คาดว่าจะมีแชร์ไม่ต่ำกว่า 5-10% ในแต่ละโลเกชั่นเป็นอย่างน้อย”
ทั้งนี้แต่ละสาขาที่จะเปิดนั้นจะเน้นเปิดในช่องทางศูนย์การค้าเป็นหลักมากกว่าที่จะเปิดเป็นสแตนอะโลน เนื่องจากมองว่าศูนย์การค้ามีข้อดีมากกว่าซึ่งเกิดจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันจะนิยมเดินชอปปิ้งในศูนย์การค้ามากขึ้น อีกทั้งศูนย์การค้าในปัจจุบันสามารถอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ในทุกๆด้าน ดังนั้นการเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในศูนย์การค้า จึงถือเป็นช่องทางที่สำคัญมากในปัจจุบัน
ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือกับทางเซ็นทรัลที่จะร่วมเปิดโรงภาพยนตร์ประมาณ 3-4 สาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในโลเกชั่นที่ทางเซ็นทรัลเตรียมที่จะเปิดใหม่ โดยสาขาแรกที่กำลังจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายไตรมาสสามของปีนี้ คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เบื้องต้นบริษัทฯใช้งบลงทุนไปกว่า 700 ล้านบาท ตั้งเป้าเปิดให้บริการจำนวนกว่า 15 โรง ในลักษณะที่เป็นลักษณะแฟลกชิพสโตร์ เน้นความแตกต่างของคอนเซ็ปต์ที่นำเสนอเกี่ยวกับนวัตรกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลัก ที่เป็นชาวต่างชาติ และวัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ที่เป็นส่วนตัว ชอบไฮเทคโนโลยี
นอกจากนี้บริษัทฯได้จับมือกับทาง MK THX ในการลงทุนร่วมกันที่เปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในปีหน้า เช่นเดียวกับที่ได้ลงทุนร่วมกันเปิดให้บริการที่ เซ็นทรัลทาวน์ รัตนาธิเบศร์ มาเป็นที่ เดอะมอลล์ ท่าพระ โดยเป็นการขยายโรงเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ 4 โรง เป็น 9-10 โรง เบื้องต้นใช้งบลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาท เชื่อว่าหากทั้งสองสาขาเปิดให้บริการได้นั้น จะมียอดจำหน่ายตั๋วได้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านใบในปี 2550
ส่วนครึ่งปีหลังจากนี้บริษัทฯมีแผนจัดแคมเปญใหญ่ไม่ต่ำกว่า 3 แคมเปญ ล่าสุดนำกลยุทธ์ เฟรนชิฟ มาร์เก็ตติ้งมาใช้ร่วมกับพันธมิตรจากดีแทค จัดแคมเปญ “เอสเอฟ แฮปปี้ มูวี่ ซิม” ร่วมกัน ตลอด 1 ปีนับจากนี้ ซึ่งใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 170 ล้านบาท แบ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ 120 ล้านบาท และงบโฆษณาประชาสัมพันธ์อีก 50 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 5 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมแคมเปญดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย
นายสุวัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น ถือว่าเติบโตเป็นไปตามเป้าที่วางไว้กว่า 10% ปิดยอดขายไปกว่า 4 ล้านตั๋วหนัง ส่วนในครึ่งปีหลังนั้นมองว่ารายได้ยังคงเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากมีภาพยนตร์ทำเงินเข้าฉายเป็นจำนวนหลายเรื่อง มั่นใจว่าทั้งปีจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โตขึ้น 10% แบ่งเป็น รายได้จากตั๋วหนัง 70% ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 15% พื้นที่เช่า โฆษณา และการจำหน่ายเครื่องดื่มและป๊อบคอร์น อีก 15%
ในขณะที่สิ้นปีคาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากจำนวนรายได้จากการขายตั๋วหนังไม่ต่ำกว่า 10 ล้านใบ จากเดิมมีแชร์ 27-28% ในปีที่ผ่านมาที่จำหน่ายตั๋วหนังได้ประมาณ 8.5 ล้านใบเท่านั้น
นายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจในปีนี้จะไม่ดีนัก แต่สำหรับธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงแล้วไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด จึงทำให้บริษัทฯยังคงเดินหน้าลงทุนขยายสาขาโรงภาพยนตร์เพิ่มอีกในปีนี้ เบื้องต้นได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 2,000 ล้านบาท ในการลงทุนเปิดโรงภาพยนตร์เพิ่มไม่ต่ำกว่า 7-8 สาขา เฉลี่ยแต่ละสาขาจะมีเปิดประมาณ 8-14 โรง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายใน 2-3 ปี และจะช่วยเพิ่มแชร์จากเดิมในปัจจุบันที่มี 27-28% นั้น เพิ่มขึ้นเป็น 40% ได้อย่างแน่นอน
“ที่ผ่านมาบริษัทฯจะมุ่งที่จะการสร้างฐานลูกค้าเป็นหลัก แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ บริษัทฯจะหันมาเน้นในส่วนของการขยายตัวในการเพิ่มสาขามากขึ้น ซึ่งงบลงทุนที่ใช้นั้นถือเป็นงบลงทุนที่สูงที่สุดที่บริษัทฯเคยใช้มา ส่วนแต่ละสาขาที่จะเปิดนั้น คาดว่าจะมีแชร์ไม่ต่ำกว่า 5-10% ในแต่ละโลเกชั่นเป็นอย่างน้อย”
ทั้งนี้แต่ละสาขาที่จะเปิดนั้นจะเน้นเปิดในช่องทางศูนย์การค้าเป็นหลักมากกว่าที่จะเปิดเป็นสแตนอะโลน เนื่องจากมองว่าศูนย์การค้ามีข้อดีมากกว่าซึ่งเกิดจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันจะนิยมเดินชอปปิ้งในศูนย์การค้ามากขึ้น อีกทั้งศูนย์การค้าในปัจจุบันสามารถอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ในทุกๆด้าน ดังนั้นการเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในศูนย์การค้า จึงถือเป็นช่องทางที่สำคัญมากในปัจจุบัน
ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือกับทางเซ็นทรัลที่จะร่วมเปิดโรงภาพยนตร์ประมาณ 3-4 สาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในโลเกชั่นที่ทางเซ็นทรัลเตรียมที่จะเปิดใหม่ โดยสาขาแรกที่กำลังจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายไตรมาสสามของปีนี้ คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เบื้องต้นบริษัทฯใช้งบลงทุนไปกว่า 700 ล้านบาท ตั้งเป้าเปิดให้บริการจำนวนกว่า 15 โรง ในลักษณะที่เป็นลักษณะแฟลกชิพสโตร์ เน้นความแตกต่างของคอนเซ็ปต์ที่นำเสนอเกี่ยวกับนวัตรกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลัก ที่เป็นชาวต่างชาติ และวัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ที่เป็นส่วนตัว ชอบไฮเทคโนโลยี
นอกจากนี้บริษัทฯได้จับมือกับทาง MK THX ในการลงทุนร่วมกันที่เปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในปีหน้า เช่นเดียวกับที่ได้ลงทุนร่วมกันเปิดให้บริการที่ เซ็นทรัลทาวน์ รัตนาธิเบศร์ มาเป็นที่ เดอะมอลล์ ท่าพระ โดยเป็นการขยายโรงเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ 4 โรง เป็น 9-10 โรง เบื้องต้นใช้งบลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาท เชื่อว่าหากทั้งสองสาขาเปิดให้บริการได้นั้น จะมียอดจำหน่ายตั๋วได้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านใบในปี 2550
ส่วนครึ่งปีหลังจากนี้บริษัทฯมีแผนจัดแคมเปญใหญ่ไม่ต่ำกว่า 3 แคมเปญ ล่าสุดนำกลยุทธ์ เฟรนชิฟ มาร์เก็ตติ้งมาใช้ร่วมกับพันธมิตรจากดีแทค จัดแคมเปญ “เอสเอฟ แฮปปี้ มูวี่ ซิม” ร่วมกัน ตลอด 1 ปีนับจากนี้ ซึ่งใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 170 ล้านบาท แบ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ 120 ล้านบาท และงบโฆษณาประชาสัมพันธ์อีก 50 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 5 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมแคมเปญดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย
นายสุวัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น ถือว่าเติบโตเป็นไปตามเป้าที่วางไว้กว่า 10% ปิดยอดขายไปกว่า 4 ล้านตั๋วหนัง ส่วนในครึ่งปีหลังนั้นมองว่ารายได้ยังคงเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากมีภาพยนตร์ทำเงินเข้าฉายเป็นจำนวนหลายเรื่อง มั่นใจว่าทั้งปีจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โตขึ้น 10% แบ่งเป็น รายได้จากตั๋วหนัง 70% ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 15% พื้นที่เช่า โฆษณา และการจำหน่ายเครื่องดื่มและป๊อบคอร์น อีก 15%
ในขณะที่สิ้นปีคาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากจำนวนรายได้จากการขายตั๋วหนังไม่ต่ำกว่า 10 ล้านใบ จากเดิมมีแชร์ 27-28% ในปีที่ผ่านมาที่จำหน่ายตั๋วหนังได้ประมาณ 8.5 ล้านใบเท่านั้น